สตาร์บัคส์ เอาด้วย ถอนโฆษณาจากสื่อโซเชียล

สตาร์บัคส์ เอาด้วย ถอนโฆษณาจากสื่อโซเชียล

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า บริษัท สตาร์บัคส์ กลายเป็นแบรนด์สินค้าชื่อดังรายล่าสุด ที่เริ่มระงับการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ รวมถึงเฟซบุ๊ก ตามรอยแบรนด์ดังอื่นๆ อย่าง ลีวายส์ ดีอาจิโอ และ ยูนิลีเวอร์ เพื่อร่วมบอยคอตโซเชียลมีเดียที่สนับสนุนข้อความ hate speech

ตามแถลงการณ์ของสตาร์บัคส์ พวกเขาจะหารือกันเป็นการภายในและกับหุ้นส่วนโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมทั้งองค์กรสิทธิพลเรือน เพื่อหยุดการเผยแพร่ข้อความ hate speech โดยจะโพสต์ข้อความของพวกเขาลงบนสื่อโซเชียลต่อไป แต่จะไม่มีการจ่ายเงินเพื่อโปรโมตโพสต์แล้ว อย่างไรก็ตาม การหยุดลงโฆษณาครั้งนี้ จะไม่รวม ยูทูบ ของบริษัท กูเกิล

สตาร์บัคส์ เอาด้วย ถอนโฆษณาจากสื่อโซเชียล ต้านข้อความ hate speech

ทั้งนี้ กระแสต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐฯ กำลังรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หนึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นคือแคมเปญ StopHateforProfit หรือ หยุดสร้างความเกลียดชังเพื่อผลกำไร’ ที่องค์กรสิทธิมนุษยชน สันนิบาตต่อต้านการใส่ร้าย (Anti-Defamation League) และ สมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี (NAACP) เป็นผู้ออกมารณรงค์ มีบริษัทต่างๆ ร่วมถอดโฆษกสนับสนุนแคมเปญนี้กว่า 150 บริษัทแล้ว โดยแคมเปญ StopHateforProfit กล่าวหาเครือข่ายสังคมออนไลน์

โคคา โคลา ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าที่ถอนโฆษณาบนเฟซบุ๊ก แต่ไม่ได้ร่วมแคมเปญ #StopHateforProfit

โดยเฉพาะเฟซบุ๊กว่า ไม่มีมาตรการมากพอในการหยุดข้อความสร้างความเกลียดชังและการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ซีอีโอของเฟซบุ๊กประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าจะเพิ่มการติดป้ายเตือนข้อความอันตราย หรือข้อความชี้นำผิดๆ บนโพสต์ต่างๆ นายซัคเคอร์เบิร์กยังประกาศแบนโฆษณาที่มีเนื้อหาเจาะจงถึงสีผิว เผ่าพันธ์ุ เชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้นวรรณะ รสนิยมทางเพศ หรือสถานะผู้อพยพ ที่เป็นภัยต่อผู้อื่น แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยท่ามกลางปัญหาที่หนาแน่น

ตามรายงานของ บลูมเบิร์ก ผลจากการถอนโฆษณาของแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทำให้หุ้นของบริษัท เฟซบุ๊ก ตกลงถึง 8.3% ในวันศุกร์ มากที่สุดในรอบ 3 เดือน ขณะมูลค่าทางการตลาดก็ลดลงไป 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.72 ล้านล้านบาท) ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของนายซัคเคอร์เบิร์กก็ลดลงถึง 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.2 แสนล้านบาท) เหลือ 8.23 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ