เปิด 5 สาเหตุ ทำราคาทองคำพุ่งไม่หยุด

เปิด 5 สาเหตุ ทำราคาทองคำพุ่งไม่หยุด

สำหรับทิศทางทองคำในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่กระหน่ำเข้ามาต่อเนื่องหนุนราคาทุบสถิติใหม่ไม่หยุด ปัจจัยบวก-ลบที่ต้องติดตามมีอะไรบ้าง นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร

เริ่มจาก ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพให้ฟังว่า ราคาทองคำดีดปรับตัวขึ้นร้อนแรงจาก 5 ปัจจัยหลักคือ

1. ความวิตกกังวลในภาคธนาคารภูมิภาคของสหรัฐ หลังราคาหุ้นธนาคารร่วงหนักกว่า 10% เกิดความเสี่ยงความเสี่ยงด้านเครดิตหรือสินเชื่อ ซึ่งเป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้พรม และบางบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อเกิดปัญหาล้มละลายไม่สามารถชำระหนี้ได้กระทบเป็นลูกโซ่ ส่งผลต่อภาคธนาคารทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากตลาดมีความกังวลว่าจะเกิดวิกฤติภาคธนาคารในอนาคตหรือไม่

2.สถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ข้าราชการยังไม่ได้รับเงินเดือน คาดว่าจะยาวไปถึงเดือนพ.ย.นี้ เพราะพรรคเดโมแครต และรีพับลิกันยังไม่สามารถตกลงกันได้ แม้มีการหารือกับมาแล้ว 10 ครั้ง ซึ่งต้องระวังความผันผวน แต่ถ้าสถานการณ์คลี่คลายลงราคาทองจะพักฐาน เนื่องจากที่ผ่านมาแค่กระแสข่าวหารือกันราคาทองก็ปรับตัวลง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้ว

3. ความตึงเครียดในรัสเซียและยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะใช้อาวุธทำลายล้างสูงออกมาต่อสู้กันหนุนราคาทองคำปรับตัวขึ้น แต่ล่าสุดมีข่าวว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะหารือกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดี รัสเซีย ที่กรุงบูดาเปสต์ของฮังการี เกี่ยวกับสงครามในยูเครน ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการหารือในครั้งนี้ว่า บรรลุข้อตกลงกันหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ข้อสรุปทองจะไปต่อ แต่ถ้าผลเจรจาตกลงกันได้ทองคำจะปรับตัวลง จากที่ก่อนหน้าที่มีข่าวจะหันหน้าเจรจากันทำให้ทองคำถูกเทขายออกมาทันที แต่หลังผลการเจรจาล้มเหลวราคาก็ดีดกลับ

4. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดเฟดจะลดดอกเบี้ยลงปลายปีนี้ 2 ครั้ง เพราะตลาดแรงงานอ่อนแอ โดยตลาดเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุม 28-29 ต.ค. นี้ และในเดือนธ.ค. ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง

5.สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนส่อแววปะทุ หลังจากจีนประกาศเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยให้เหตุผลว่า ในบางกรณี มีการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจากจีนไปยังต่างชาติ เพื่อใช้ในทางทหารและภาคส่วนอื่นที่มีความอ่อนไหว ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ของจีน

ขณะที่สหรัฐฯ ตอบโต้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. รวมทั้งขู่ยกเลิกการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มีกำหนดจัดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.นี้

โดยปัจจัยดังกล่าวแม้ว่าจะหนุนให้ราคาทองคำยังขึ้นต่อเนื่อง แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดหากสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลงก็จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงแรง ถ้าราคาปรับตัวลง 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ต้องระวังการปรับฐาน แต่ถ้าลงประมาณ 100-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ถือว่าปกติ เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดขึ้นลงมา 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์จากนั้นไม่นานก็ดีดกลับขึ้นมาเหมือนเดิม

ส่วนกรณีที่ราคาทองขึ้นร้อนแรงจนเกิดความกังวลว่าจะเป็นฟองสบู่ทองคำ (Gold Bubble) ว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาจากปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่เป็นการปั่นราคาเก็งกำไรเกินความเป็นจริง เนื่องจากราคาที่ปรับขึ้นมาแรงส่งจากปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องสงครามทางการค้าสหรัฐ-จีน ธนาคารภูมิภาคสหรัฐมีปัญหาหนี้เสียจากการปล่อยสินเชื่อ การคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของเฟด สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ

ด้านปัจจัยบวกต่อทองคำนั้น ยังเป็นเรื่องความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐเข้าสู่ภาวะขาลง ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ธนาคารแบงค์ ออฟ อเมริกา หรือ BofA ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ปรับขึ้น ราคาทองคำคาดการณ์ในปี 69 ขึ้นมาอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมที่ 3,350 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือปรับขึ้นอีก 1,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +31%

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ