วันที่ 17 ตุลาคม 2568 สถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาร้อนแรงอีกระลอก แม้ช่วงนี้จะไม่มีเสียงปืนหรือการปะทะเหมือนที่ผ่านมา แต่ความหวาดระแวงยังคงปกคลุมทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเกษตรกรรมที่ชาวบ้านกำลังจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งข้าวและอ้อย ที่ปลูกไว้ตลอดปี

ค่าเกี่ยวข้าวชายแดนพุ่ง 200% รถเกี่ยวข้าวไม่กล้าหวั่นโดนระเบิดตกค้าง

นายอำนาจ พจชนะ อายุ 50 ปี เจ้าของรถเกี่ยวข้าวในจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดใจว่า ปกติรับจ้างเกี่ยวข้าวทั่วภาคอีสาน ไม่ว่าจะอำเภอไหนก็ไป แต่รอบนี้ ต้องขอเว้น พื้นที่แนวชายแดน โดยเฉพาะ อ.บ้านกรวด และ อ.ละหานทราย ที่เคยมีการอพยพหนีการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เพราะไม่อยากเสี่ยงชีวิต แม้จะมีข่าวว่าค่าเกี่ยวข้าวพุ่งสูงถึงไร่ละ 1,500 บาท จากเดิมเพียง 600 บาทก็ตาม

ถึงรัฐบาลจะบอกว่าปลอดภัย แต่เราก็ไม่มั่นใจ ว่ารถจะไปเหยียบลูกระเบิดเมื่อไหร่ ใครจะกล้ารับผิดชอบ - นายอำนาจ กล่าว

เช่นเดียวกับนายสิทธิชัย นกยูง อายุ 48 ปี เจ้าของรถเกี่ยวจาก อ.นางรอง เผยว่า เคยรับงานในเขตชายแดนมาก่อน แต่ปีนี้ขอหยุดไว้ก่อน เพราะยังมีข่าวลือเรื่อง ลูกระเบิด BM-21 ที่ยังเกลื่อนอยู่ในพื้นที่ ซึ่งถ้ารถเกี่ยวข้าวมูลค่าหลายล้านบาทได้รับความเสียหาย คงไม่มีใครชดใช้ได้

ขณะที่เกษตรกรใน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งกำลังจะเก็บเกี่ยวข้าวในอีกไม่เกิน 2 เดือน ต่างเริ่มวิตกกังวล เพราะไม่มีรถรับจ้างเกี่ยวเหมือนปีก่อน ๆ นางรื่น อิฐประโคน อายุ 64 ปี เกษตรกรในพื้นที่ เผยว่า ตนปลูกทั้งข้าวและอ้อย แต่ปีนี้อาจต้องเผชิญกับภาวะ ข้าวสุกแต่ไม่มีคนเกี่ยว

ถ้าไม่มีรถมาเกี่ยว เราก็ไม่รู้จะทำยังไง จะลงแขกก็ทำไม่ได้เหมือนสมัยก่อน เพราะข้าวออกพร้อมกันหมด อยากให้รัฐบาลช่วยจริงจังหน่อย - นางรื่น กล่าว

รายงานระบุว่า ในพื้นที่ อ.บ้านกรวด เคยพบลูกระเบิด BM-21 มากถึง 252 ลูก จากการปะทะก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีลูกระเบิดตกหลงเหลือในนาอีกเท่าใด เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นฤดูฝน หลายจุดอาจถูกน้ำปิดบังร่องรอยไปแล้ว

ปัญหานี้ทำให้ชาวนาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องเผชิญ วิกฤตราคาค่าเกี่ยวข้าวพุ่ง 200% โดยไม่มีทางเลือกมากนัก บางรายถึงขั้นเตรียมใช้แรงงานในครอบครัวลงเกี่ยวเอง เพื่อไม่ให้ข้าวเน่าเสียหาย ก่อนฝากคำถามถึงรัฐบาลว่า - เราจะปลูกข้าวไปเพื่ออะไร ถ้าไม่มีใครกล้าเกี่ยว?