สาวร่างทรง ร่ำไห้ อ้างถูกน้าสาวฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน

สาวร่างทรง ร่ำไห้ อ้างถูกน้าสาวฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน

วันที่ 18 ส.ค. 2568 ที่บ้านหลังหนึ่ง ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง นางสาวสุนิสา หรือ แต๋ม อายุ 48 ปีกำลังร้องไห้ฟูมฟายและลั่นคำขู่ว่า “ถ้ามีปืนจะยิงให้ตายแล้ว” พร้อมทรุดตัวล้มลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความเสียใจ หลังจากที่ถูก ป้าดำ วัย 69 ปี ซึ่งเป็นน้าสาวแท้ ๆ ฟ้องขับไล่ออกจากบ้านเช่าหลังดังกล่าวโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่อยู่อาศัยมานานถึง 20 ปีแล้ว และไม่เคยจ่ายค่าเช่าเพราะเป็นที่ดินมรดกของคุณยาย แต่เป็นการบอกแบ่งให้ลูกหลานแบบปากเปล่าโดยไม่มีหลักฐาน เมื่อคุณยายและคุณแม่ของนางแต๋มเสียชีวิตลง ที่ดินจึงตกเป็นของน้าสาว

นางแต๋ม กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2566 ตนป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคลิ่มเลือดอุดขั้วหัวใจทั้ง 4 ห้องและโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค ประกอบกับลูกสาวของตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้ จึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อสะดวกในการพบแพทย์ และดูแลลูกสาว โดยทิ้งบ้านเช่าหลังนี้มานาน 2 ปี จนกระทั่งมาทราบว่าถูกฟ้องขับไล่และมีการรื้อค้นทรัพย์สินภายในบ้านออกมากองไว้นอกบ้าน ทำให้ข้าวของเสียหาย รถ จยย.พ่วงข้างถูกดัดแปลงสภาพ เปลี่ยนสีรถ ไร้ที่อยู่อาศัย และถูกถอดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน จนกลายเป็นคนเร่ร่อน หลังเกรงว่าหลานสาวจะครอบครองปรปักษ์เพราะอยู่อาศัยนานเกิน 10 ปี

นอกจากนี้ ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการทรงเจ้า หิ้งบูชาไอ้ไข่วัดเจดีย์ เสื้อผ้าชุดขาวกินเจ และศาลเจ้าภายในบ้านก็เสียหายไปมาก โดยนางแต๋มอ้างว่าบ้านหลังที่ตนอยู่ เป็นเงินของแม่และน้าสาว(ป้าดำ) ที่ช่วยกันก่อสร้างขึ้นมาสมัยที่คุณตาคุณยายยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทำให้นางแต๋มคับแค้นใจมาก เพราะเสียใจที่น้าสาวแท้ ๆ ที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เล็ก ทำกับตนได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ยอมเร่งขนย้ายสิ่งของที่เหลือออกจากบ้านด้วยน้ำตานองหน้า

ตนขอความเป็นธรรม เอาความถูกต้องเอาความจริงมาพูดกับตน ว่าตนจะอยู่บ้านหลังนี้ได้หรือไม่ จะให้ตนไปอยู่ที่ไหนทำไมทำกับตนแบบนี้ ทั้งที่ตนเป็นหลานแท้ ๆ ไม่ใช่คนนอก เป็นหลานที่คลานตามหลังพี่สาวเขามา ทำไมหลานคนอื่นถึงอยู่ได้ แต่ทำไมทำกับตนขนาดนี้ ตนจึงขอความเป็นธรรมจากทุกหน่วยงานเพราะตนเป็นคนไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย เป็นแค่แม่ค้าขายขนมถังแตกไปกินนอนที่วัด

ตนรู้ตัวอีกทีตอนถูกฟ้องขับไล่ตอนที่ลงมาดูบ้านแล้ว และมีสภาพอย่างที่เห็น โดยบ้านหลังนี้ตนไม่ได้เช่า เพราะสมัยก่อนเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว คุณตาคุณยายจะบอกให้กันแบบปากเปล่า ทุกคนจึงอยู่รวมกันไม่มีใครออกจากบ้าน ทุกคนยังอยู่ที่เดิม ซึ่งบ้านหลังนี้แม่ตนกับป้าดำ เป็นคนสร้างแต่ตนไม่รู้มากนัก เพราะยังเป็นเด็ก รู้แค่ว่าตนสามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้ในฐานะหลานมาตั้งแต่ปี 2547

จึงวอนให้ความช่วยเหลือโดยให้เอาความเป็นจริงมาคุยกับตน ให้แผ่นดินที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ตนอยู่ ให้ตนได้เกิดได้ตายที่นี่ อย่าให้ไปตายข้างถนน เพราะชีวิตตนไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะตนไม่รู้จะไปต่อทางไหน ของก็ต้องขนไปไว้กลางแจ้ง ไม่มีที่อยู่เพราะตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถ้าตายตัวเองก็ไม่ได้มาฝังที่นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่สาหัสมากจนพูดไม่ออก

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ