
หุ้นไทยแรง-ค่าเงินบาทผันผวน! SET พุ่งนิวไฮรอบ 6 เดือน จับตา GDP Q2 สัปดาห์หน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา (12-16 ส.ค. 2568) ว่า มีความผันผวนตลอดสัปดาห์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้น หลังตลาดในประเทศกลับมาเปิดทำการหลังวันหยุดยาว ประกอบกับการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายสัปดาห์เงินบาทกลับอ่อนค่าอีกครั้ง หลังเงินดอลลาร์ฟื้นตัวจากข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ออกมาสูงกว่าคาด ส่งผลให้แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังคงไม่แน่นอน
ทั้งนี้ กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.50% ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินบาทช่วงกลางสัปดาห์ ก่อนจะเผชิญแรงกดดันอีกครั้งในช่วงปลาย
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้า (18-22 ส.ค. 2568) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทไว้ที่ 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่
ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568
ยอดส่งออกเดือนกรกฎาคม
ถ้อยแถลงของประธานเฟดที่การประชุม Jackson Hole
ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย
ราคาทองคำในตลาดโลก
รายงานการประชุมเฟด
อัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน
รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจจากอังกฤษและยูโรโซน
หุ้นไทยพุ่งแรง แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน
ด้านตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ขยับขึ้นแรงในช่วงกลางสัปดาห์ สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศ แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 1,283.55 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มไฟแนนซ์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ขณะเดียวกันหุ้นสินเชื่อทะเบียนรถรายใหญ่ก็ได้รับแรงเก็งกำไร หลังมีความเคลื่อนไหวด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์ ดัชนี SET อ่อนตัวลงจากแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มการบินที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และมีแรงขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ หลังจากเข้าซื้อสุทธิต่อเนื่องมา 5 สัปดาห์
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (KSecurities) ประเมินแนวรับดัชนี SET สัปดาห์หน้าที่ระดับ 1,240 และ 1,215 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,280 และ 1,300 จุด โดยยังคงต้องติดตามปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด รวมถึงการประชุม Jackson Hole, รายงานการประชุมเฟด, อัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน และข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ
ภาพและข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย