มาร์กเท 8 พันล้าน คว้าอัจฉริยะ AI วัย 24 หลังเมินดีลแรก 4 พันล้าน

มาร์กเท 8 พันล้าน คว้าอัจฉริยะ AI วัย 24 หลังเมินดีลแรก 4 พันล้าน

การแข่งขันในสมรภูมิ AI ทวีความร้อนแรงขึ้นอีกขั้น เมื่อ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอแห่ง Meta ตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8 พันล้านบาท เพื่อคว้าตัว แมตต์ เดียตเก (Matt Deitke) นักวิจัยอัจฉริยะด้าน AI วัยเพียง 24 ปี เข้าร่วมทีม ซูเปอร์อินเทลลิเจนต์ แลปส์ (Superintelligence Labs) ของบริษัท หลังเจ้าตัวปฏิเสธข้อเสนอแรกมูลค่า 125 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4 พันล้านบาท) โดยเห็นว่า ต่ำเกินไป

การเจรจาครั้งนี้ ซักเคอร์เบิร์กถึงกับลงมาพูดคุยด้วยตัวเอง ก่อนจะเพิ่มข้อเสนอเป็นสองเท่า จนได้รับการตอบรับในที่สุด โดยมีรายงานว่า เดียตเกอาจได้รับค่าตอบแทนสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.2 พันล้านบาท) ในปีแรก เพียงปีเดียว

เดียตเกเป็นอดีตนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ตัดสินใจลาออกก่อนจบ และเข้าทำงานกับ Allen Institute for AI ที่ซีแอตเทิล เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา Molmo แชตบอต AI แบบมัลติโหมดที่เข้าใจภาพ เสียง และข้อความ ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ของ Meta ที่กำลังเร่งพัฒนา AI ครอบจักรวาล

ในเวลาต่อมา เดียตเกยังได้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพชื่อ Vercept ที่พัฒนาเอเจนต์ AI สำหรับทำงานอัตโนมัติบนซอฟต์แวร์ออนไลน์ โดยแม้จะมีทีมเพียง 10 คน แต่สามารถระดมทุนได้ถึง 16.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 517 ล้านบาท) จากนักลงทุนรายใหญ่อย่าง เอริก ชมิดต์ อดีตซีอีโอของ Google

การคว้าตัวเดียตเก ถือเป็นหมากสำคัญของ Meta ในการสร้างทีม AI ระดับโลก โดยมีรายงานว่า Meta ลงทุนไปแล้วกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท เพื่อดึงตัวนักวิจัยชั้นนำเข้าสู่ทีม Superintelligence Labs ล่าสุดยังคว้า รูมิง แปง (Ruoming Pang) หัวหน้าทีม AI ของ Apple มาร่วมทีมด้วยค่าตอบแทนกว่า 200 ล้านดอลลาร์ (ราว 6.4 พันล้านบาท)

แม้การแข่งขันนี้จะช่วยผลักดันนวัตกรรม AI ไปข้างหน้า แต่ก็มีเสียงวิพากษ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและสังคม ว่า การทุ่มทรัพยากรมหาศาลให้คนส่วนน้อย ขณะที่พนักงานสายสนับสนุนจำนวนมากอย่างผู้ตรวจสอบเนื้อหากลับถูกเลิกจ้าง หรือไม่ได้รับการจ้างงานอย่างเป็นธรรม อาจยิ่งซ้ำเติม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาส ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโลกใบนี้อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่บริษัทเทเงินเป็นพันล้านให้หัวกะทิไม่กี่คน พนักงานอีกนับพันกลับถูกลดความสำคัญ แม้จะมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน ความเห็นจากผู้ก่อตั้ง Digital Cultures Lab

นี่คือยุคที่ AI ไม่เพียงเปลี่ยนเทคโนโลยี แต่กำลังเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจและทรัพยากรในโลกใบนี้

ข้อมูลจาก nypost

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ