วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2568 โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา (28 ก.ค.68)ผู้ต้องขังที่มีสิทธิได้รับการอภัยโทษ ต้องเป็น นักโทษเด็ดขาด คือมีโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยมีเงื่อนไขดังนี้

ต้องถูกจำคุกมาแล้วจนถึงวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ และต้องจำคุกมาแล้ว อย่างน้อย 1 ใน 3 ของโทษทั้งหมด หรือ ไม่น้อยกว่า 8 ปีให้ใช้เกณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ต้องขังมากกว่า หากผู้ต้องขังมีหลายคดี ให้พิจารณา โทษของคดีที่หนักที่สุด เป็นหลักในการพิจารณา

ส่วนผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤตินั้น จะให้ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษลง 1 ใน 3 จากกำหนดโทษที่ยังเหลืออยู่ นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ เว้นแต่ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ เป็นผู้มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 8 ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว

สำหรับหลักการอภัยโทษนั้น จะแบ่งผู้ต้องขังเป็น 3 ประเภท คือ ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัว ผู้ที่ได้รับการลดโทษ และผู้ที่ไม่ได้รับการลดโทษ ซึ่งกลุ่มที่ได้รับการปล่อยตัว คือ ผู้ต้องกักขังที่ทำงานบริการสังคม หรือทำงานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ

ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติที่เป็นผู้เจ็บ ป่วย พิการ ชราภาพ นักโทษเด็ดขาดที่เป็นผู้เจ็บ ป่วย พิการ ชราภาพ หรือจำคุกมานานจนใกล้พ้นโทษแล้ว เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี โดยผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวต้องเป็นนักโทษตั้งแต่ชั้นดีขึ้นไป ไม่เป็นผู้กระทำความผิดซ้ำ นักโทษเด็ดขาดคดีอื่นจะได้รับการลดโทษในอัตราส่วนมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับชั้นนักโทษและฐานความผิด

ซึ่งจากข้อมูลกรมราชทัณฑ์ วันที่ 28 ก.ค.2568 ขณะนี้กรมราชทัณฑ์มีผู้ต้องขังเด็ดขาดทั่วประเทศที่ควบคุมอยู่ในเรือนจำ 297,739 ราย เป็นนักโทษเด็ดขาด 213,198 ราย ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา 84,524 ราย สำหรับพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (29 ก.ค.68) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

สำหรับพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2568 มีผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำประมาณ 10,000 ราย จากเรือนจำทั่วประเทศ มีรายงานว่า กรมราชทัณฑ์เตรียมประชุมเตรียมความพร้อมรองรับผู้ต้องขังที่จะได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำ

ซึ่ง ภายหลังจากการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2568 นั้น เสก โลโซ นักร้องชื่อดัง จะยังไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ เนื่องจากเป็นยังไม่เข้าหลักเกณฑ์จำคุก 1 ใน 3 ของโทษ ส่วน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษลดวันต้องโทษ ในกลุ่มผู้ถูกคุมประพฤติ