สวนดุสิตโพลชี้ ประชาชนกังวล ครม.ใหม่ ไร้ศักยภาพ ห่วงภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจหนัก

สวนดุสิตโพลชี้ ประชาชนกังวล ครม.ใหม่ ไร้ศักยภาพ ห่วงภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจหนัก

วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์ โดยกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,191 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 พบว่าผลงานหรือนโยบายที่อยากเห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เร่งดำเนินการมากที่สุด คือ การแก้ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ร้อยละ 65.41 เรื่องที่กังวลเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ คือ อาจมีบุคคลที่ประวัติไม่โปร่งใส ความสามารถไม่ตรงกับงาน ร้อยละ 62.97

เมื่อเปรียบเทียบกับ ครม.ชุดที่ผ่านมา มีความคิดเห็นว่า การทำงานของ ครม.ชุดใหม่อาจจะแย่กว่า ร้อยละ 41.56 ด้านความเห็นเกี่ยวกับกรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% นั้น คาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ร้อยละ 50.04 สุดท้ายมองว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะเจรจาแก้ไขปัญหานี้ได้ถึง ร้อยละ 50.63

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจทั้งเรื่อง ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์สะท้อนให้เห็นภาพเดียวกันว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องเผชิญกับความคาดหวังสูงจากประชาชน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเศรษฐกิจซึ่งเป็นความหวังหลัก และในขณะเดียวกันนั้นก็มีความกังวลต่อคณะรัฐมนตรีและศักยภาพของรัฐบาลที่จะรับมือต่อแรงกดดันจากภายนอกจากกรณีภาษีทรัมป์ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ความไม่มั่นใจต่อการเจรจาจึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยอดชาย ชุติกาโม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมืองมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่ในขณะนี้ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ครม.ชุดใหม่เร่งดำเนินการ คือแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ยังมีความกังวลถึงความรู้ความสามารถที่ไม่ตรงกับงาน ความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรี เมื่อเปรียบกับครม.ชุดที่ผ่านมา ประชาชนเชื่อว่า ครม.ชุดใหม่อาจแย่กว่าสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อ ครม.ชุดใหม่ ส่วนผลกระทบจากปัจจัยภายนอกนั้น คนไทยมีความกังวลมากถึง 50.04% กรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยถึง 36% ซึ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก สิ่งที่ครม.ชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากปัญหาของตัวนายกรัฐมนตรีเอง

ด้านเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไทยกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่ยังไร้เสถียรภาพและพร้อมเปลี่ยนแปลง แม้ประกาศในแต่ละวันก็ยังคลุมเครือ

ครม.ชุดใหม่ควรจะต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตนเองว่าได้ทำอย่างเต็มที่หรือไม่และต้องใช้วิกฤตินี้พิสูจน์ว่ามีความจริงใจต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติ นั่นคือความอยู่ดีมีสุขของคนไทยทุกคนมากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมืองภายในเพื่อยืดระยะเวลารัฐบาลเอาตัวรอดไปวันๆ

เรียบเรียงโดย มุมข่าว

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ