
สหรัฐฯ เขี่ยแรง! กดดันพันธมิตร ให้ชี้แจงบทบาทตัวเอง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เดินหน้าเร่งผลักดันพันธมิตรสำคัญในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ทั้งญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ให้ระบุบทบาทและท่าทีของตนเอง หากเกิดเหตุสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในประเด็นไต้หวัน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประเทศรู้สึกไม่พอใจอย่างมากต่อท่าทีแข็งกร้าวนี้
รายงานระบุว่า เอลบริดจ์ คอลบี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบาย เป็นผู้ผลักดันประเด็นนี้โดยตรงในการหารือกับเจ้าหน้าที่กลาโหมของญี่ปุ่นและออสเตรเลียตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เร่งเสริมสร้างศักยภาพการป้องปราม และเตรียมพร้อมรับมือความเป็นไปได้ของสงครามในอนาคต
แม้เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ จะปฏิเสธให้ความเห็นตรงไปตรงมาเกี่ยวกับคำขอให้พันธมิตรแสดงท่าทีต่อสถานการณ์ไต้หวัน แต่ย้ำว่าจุดเน้นสำคัญของการหารือครั้งนี้คือ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและสมดุลในการป้องปรามร่วมกัน คำขอแบบกดดันตรงๆ ให้พันธมิตรเปิดเผยบทบาทตัวเอง หากเกิดสงครามไต้หวัน ถือเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และทำให้ญี่ปุ่นกับออสเตรเลียรู้สึกกังวล เนื่องจากที่ผ่านมา สหรัฐฯ ดำเนินนโยบาย ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Ambiguity) มาโดยตลอด ไม่เคยให้คำมั่นอย่างชัดเจนว่าจะเข้าปกป้องไต้หวันหรือไม่
แม้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะเคยกล่าวในหลายโอกาสว่าสหรัฐฯ พร้อมปกป้องไต้หวัน แต่ในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเลี่ยงแสดงท่าทีใดๆ อย่างชัดเจน
แซ็ก คูเปอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียจากสถาบันวิเคราะห์ความมั่นคงระบุว่า มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะให้พันธมิตรให้คำมั่นอะไรในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้รายละเอียดหรือท่าทีของสหรัฐฯ เอง เพราะแม้แต่ในรัฐบาลทรัมป์ ก็ยังไม่เคยกำหนดท่าทีแน่ชัด ขณะที่ กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ชี้ว่า การตอบสนองใดๆ ต่อสถานการณ์ฉุกเฉินไต้หวันต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศ ส่วนออสเตรเลียแม้จะยังไม่ให้ความเห็นทางการ แต่ก็มีแนวโน้มสอดคล้องกับจุดยืนของญี่ปุ่น ในด้านการเพิ่มงบประมาณกลาโหม ซึ่งเป็นอีกประเด็นหลักในการเจรจา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มองว่าน่าจะกดดันได้ง่ายกว่าการผลักดันพันธมิตรยุโรป เพราะทั้งญี่ปุ่นและออสเตรเลียต่างแสดงสัญญาณเชิงบวกในการขยายงบกลาโหม ท่ามกลางภัยคุกคามจากจีนที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาค
อย่างไรก็ดีสื่อต่างประเทศระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากกว่าคำสัญญา และพร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรในการรับมือปัญหาความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิกร่วมกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมในภูมิภาค