จากกรณีที่มีชาวบ้านในพื้นที่ จ.กระบี่ ร้องเรียนผ่านสื่อ รวมทั้งนำภาพการตัดไม้ในป่าบริเวณใกล้อ่างเก็บน้ำคลองแห้ง ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ ว่าขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 นายปริวัฒน์ แป้นย้อย หน.หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ 4 (ในช่อง) สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามที่ปรากฏเป็นภาพข่าว โดยพบว่าพิกัดดังกล่าวอยู่ในเขตป่าเขาพนมเบญจา หมู่ 5 ต.กระบี่น้อย พบว่าเป็นพื้นที่ป่าที่อยู่ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เนื้อที่ 279 ไร่ อยู่ติดกับเขื่อนคลองแห้ง ที่กรมชลประทานขอใช้พื้นที่จากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สภาพพื้นที่เตียนโล่ง มีร่องรอยการตัดไม้ยูคาลิปตัส และเผาทำลายตอไม้และวัชพืช ปรากฏให้เห็นอยู่ชัดเจน และเป็นร่องรอยใหม่

สอบถามจากนายศรัณย์ ศรัทธาทิพย์กุล หน.สวนป่าเขาพนมเบญจา องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เผยว่า ภาพที่ปรากฏออกไปทางสังคมโซเชียล และสื่อ เป็นภาพที่เจ้าหน้าที่ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เข้ามาดำเนินการขนย้ายไม้ยูคาลิปตัส ที่เคยปลูกไว้ในพื้นที่ และเพิ่งดำเนินการตัดโค่นไปก่อนหน้านี้ ส่วนภาพของกลุ่มควันที่เห็น เป็นการเผาทำลายวัชพืช และตอไม้ที่เหลือในพื้นที่ ซึ่งดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติของจังหวัด และกรมป่าไม้ เพื่อนำกล้าไม้ใหม่เข้ามาปลูกในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งตอนนี้ดำเนินการปลูกไม้ใหม่ไปแล้วเกือบทั้งหมด ไม่ใช่การบุกรุกเข้ามาตัดไม้ของเอกชนแต่อย่างใด

สำหรับพื้นที่ดังกล่าว แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ป่าที่กรมป่าไม้ให้เอกชนเข้ามาสัมปทานทำไม้ในอดีต และหมดสัญญาสัมปทานไปตั้งแต่ปี 2527 กรมป่าไม้ไม่อนุญาตให้สัมปทานต่อ และมอบพื้นที่ให้อยู่ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จึงดำเนินการปลูกไม้ยูคาลิปตัสในพื้นที่ทั้งหมด จนผ่านมากว่า 40 ปี จึงเข้าดำเนินการตัดไม้ดังกล่าวออกไปประมูลขาย เพื่อนำไม้ใหม่เข้ามาปลูกทดแทน โดยเริ่มเข้ามาตัดไม้ตั้งแต่ 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการปลูกใหม่ คาดว่าใช้เวลา 1 ปี พื้นที่ดังกล่าวจะกลับมาเป็นป่าสมบูรณ์เหมือนเดิม

ในส่วนของประเด็น เจ้าหน้าที่เขื่อนคลองแห้งถูกกลุ่มผู้บุกรุกขู่ทำร้าย กรณีดังกล่าว คาดว่าเป็นเหตุการณ์เก่าที่เคยมีคนเข้ามาบุกรุกพื้นที่ป่าคนละจุดกัน ซึ่งครั้งนั้นทางสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ เข้าดำเนินการตรวจยึดพื้นที่คืนและแจ้งดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บุกรุกไปแล้ว ปัจจุบันจึงไม่พบการบุกรุกใหม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด