แม่ค้าร้อง เจอแก๊งผู้ชายนับ 10 คน ล้อมร้านทวงเงิน ตำรวจเตรียมเรียกไกล่เกลี่ย

แม่ค้าร้อง เจอแก๊งผู้ชายนับ 10 คน ล้อมร้านทวงเงิน ตำรวจเตรียมเรียกไกล่เกลี่ย

จากกรณีที่กลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 15 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าหนี้เงินกู้รายวัน บุกล้อมหน้าร้านลาบแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีปากเสียงรุนแรงกับเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 44 ปี จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์

วันที่ 31 พ.ค.2568 น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 44 ปี เจ้าของร้าน กล่าวว่า ตนเป็นผู้กู้เงินรายวันจากนายทุนรายหนึ่ง โดยได้รับเงินจริง 4,500 บาท จากวงเงินกู้ 5,000 บาท และตกลงชำระวันละ 250 บาท เป็นเวลา 24 วัน แต่เมื่อเกิดปัญหาทางการเงินจากยอดขายตกต่ำ และขายเนื้อวัวไม่ได้จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคแอนแทรกซ์ จึงขอเลื่อนการชำระเป็นสิ้นเดือน ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เก็บเงินประจำยอมรับเงื่อนไข

จากนั้นวันเกิดเหตุชายไว้หนวดเครา ซึ่งไม่เคยพบหน้ามาก่อน อ้างตัวเป็นเจ้าของเงิน เดินทางมาทวงหนี้ถึงหน้าร้าน พร้อมแสดงท่าทีไม่พอใจเมื่อเจ้าของร้านปฏิเสธการชำระในวันดังกล่าว และพยายามอธิบายว่าได้แจ้งเลื่อนชำระไว้แล้ว หลังการโต้เถียง จึงเดินเข้าไปในร้าน ซึ่งชายคนดังกล่าวได้เดินตามไปและโต้เถียงบังคับให้ไปยืมเงินคนอื่นมาจ่ายก่อน

พร้อมกับผลักอก ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและหยิบมีดออกมาขู่เพื่อป้องกันตัว แลเได้ถือมีดไล่ออกจากร้านไป แล้วรับเข้ามาในร้านตามเดิม โดยลูกๆได้มาเอามีดจากมือไป ก่อนที่ชายที่บอกเป็นเจ้าของเงินโทรศัพท์เรียกพวกมา เป็นชาย 16 คน หญิง 4 คน มาล้อมหน้าร้าน โดยมีลูกชายและลูกสาวที่อยู่ในร้านบันทึกคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน จึงเกิดการโต้เถียงอีกครั้งตามคลิป

หลังเหตุการณ์เริ่มบานปลาย ได้โทรแจ้งตำรวจ สภ.ท่าพระ แต่ต้องรอนานถึง 40 นาที กว่าตำรวจจะเดินทางมาถึง ทั้งที่ร้านอยู่ห่างจากโรงพักเพียง 8 กิโลเมตร โดยต้องโทรถึง 3 ครั้ง เจ้าหน้าที่จึงมาถึงที่เกิดเหตุ จากนั้นมีการพูดคุยแนะนำให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ซึ่งตนได้ปฏิบัติตามทันที โดยขอให้คู่กรณีเดินทางไปด้วย แต่ทางเจ้าหนี้ปฏิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า หมดเวลางานแล้ว และปฏิเสธรับสายตำรวจที่พยายามติดต่อ

ตอนนี้กังวลความปลอดภัยเพราะอยู่กับลูก 2 คน ลูกชาย ม.6 ลูกสาว ป.6 ทุกวันต้องกลับบ้านกลางคืน บางวันก็ไม่มีลูกค้าเลย พอมาเจอแบบนี้กลัวมาก กลัวจะถูกทำร้ายหรือถูกอุ้มหายไป และเมื่อวานช่วงเย็น มีรถกระบะหลายคันขับวนเวียนหน้าร้าน เปิดกระจกมองเข้าในร้าน แต่ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนหรือไม่ รวมถึงลูกค้าหลายคนก็ไม่กล้ามานั่งทานในร้านอีก โดยเปลี่ยนเป็นโทรสั่งแล้วให้ไปส่งที่รถแทน”

น.ส.เอ กล่าวต่ออีกว่า ยอมรับว่าตนเป็นหนี้หลายราย แต่ทุกรายสามารถเจรจาและไกล่เกลี่ยได้ ไม่มีใครเคยใช้พฤติกรรมคุกคามรุนแรงเช่นรายนี้ ซึ่งตนได้แจ้งขอชำระสิ้นเดือนล่วงหน้าแล้ว หากผู้ดูแลคนเดิมลาออกก็ควรโทรมาแจ้ง ไม่ใช่ใช้วิธีบุกถึงหน้าร้านในลักษณะเช่นนี้

เรียกร้องให้ตำรวจเร่งเรียกตัวกลุ่มเจ้าหนี้มาดำเนินการเจรจาเพื่อความปลอดภัยของตนและลูกๆ และหนี้สินกับเจ้าหนี้รายนี้ยืนยันว่าจะจ่ายไม่ใช่ไม่จ่าย แต่ตอนนี้ขอจ่ายโดยมีการไกล่เกลี่ยกันต่อหน้าตำรวจก่อนเพราะกลัวความไม่ปลอดภัย

ขณะที่ พ.ต.อ.ประทีป ปัญโญวัฒน์ ผกก.สภ.ท่าพระ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้ง ทางชุดสายตรวจก็ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที โดยใช้เวลาเดินทางจาก สภ.ท่าพระ ไปที่เกิดเหตุประมาณ 15 นาที เนื่องจากระยะทางรวมแล้วประมาณ 7 กม.ซึ่งก็สมเหตุสมผล แต่ผู้แจ้งอาจจะอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินจึงมองว่านาน

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงก็พบว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ จึงได้ให้ทางผู้แจ้งมาแจ้งความที่ สภ.ท่าพระ หลังรับแจ้งความแล้วก็ได้มีการกำชับพนักงานสอบสวนในส่วนของทางคดีให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย และได้มีการนัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ยเงินหนี้สินดังกล่าวในวันพุธนี้ตามขั้นตอนต่อไป

ผกก.สภ.ท่าพระ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบประวัติของเจ้าหนี้และลูกหนี้ พบว่าลูกหนี้รายนี้มีพฤติกรรมในลักษณะเป็นหนี้แล้วจะมีการร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม หรือแจ้งตำรวจเพื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ทำให้เจ้าหนี้บางรายยอมยกหนี้ให้หรือรับเงินเพียงครึ่งเดียวเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยไม่อยากให้เป็นเรื่อง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ลูกหนี้รายนี้มีการร้องเรียน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ