
แม่แจ้งความแแล้ว ผู้ปกครองกระโดดถีบ ลูกชายวัย 6 ขวบ เจ้าตัวยังปฏิเสธไม่ได้ถีบ
จากกรณีเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง “ท่านเปา” ได้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์รุนแรงในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง พร้อมข้อความระบุว่า “ผู้ปกครองกระโดดถีบเด็ก 6 ขวบหน้าหงาย หลังไม่พอใจที่น้องเล่นกับลูกตนแล้วทำเป็นแผลถลอก” โดยในคลิปปรากฏภาพเด็กชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะวิ่งเข้ามาแล้วกระโดดถีบเข้าที่ใบหน้าเด็กจนล้มหน้าคะมำลงกับพื้น
ซึ่งครูประจำชั้นเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ได้รีบเข้ามาตรวจสอบทันที โดยเหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างร้อนแรง ชาวเน็ตหลายรายเรียกร้องให้ดำเนินคดีถึงที่สุด พร้อมตั้งคำถามถึงสิทธิของผู้ใหญ่ในการกระทำรุนแรงต่อเด็ก โดยมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เกินกว่าเหตุ
ล่าสุดวันที่ 17 พ.ค. ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง ความคืบหน้าคดี ทราบว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา มารดาของเด็กชายผู้เสียหาย อายุ 33 ปี ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน เพื่อเอาผิดกับชายผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักเรียนอีกคนในโรงเรียนเดียวกัน
จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม เวลาประมาณ 14.30 น. ขณะผู้ปกครองรายดังกล่าวเดินทางไปรับลูกที่โรงเรียน และได้พูดคุยกับคุณครูเรื่องที่ลูกชายทะเลาะกับเพื่อนจนทำให้เกิดบาดแผล หลังจากนั้นไม่นาน ขณะพูดคุยกับลูกชายอยู่ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อชายคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาและกระโดดถีบเข้าที่ศีรษะของลูกชายวัยเพียง 6 ขวบ จนล้มลงกับพื้น
ภายหลังเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งตัวเด็กที่ถูกทำร้ายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ซึ่งผลแพทย์ยืนยันว่ามีรอยฟกช้ำบริเวณหลัง และต้องใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน จึงมีการแจ้งข้อกล่าวหาชายผู้ก่อเหตุ ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ อย่างไรก็ตามในชั้นสอบสวนเบื้องต้น ผู้ถูกกล่าวหายังคงให้การปฏิเสธ ทั้งนี้ตำรวจจะดำเนินการสอบปากคำพยานเพิ่มเติม รวมถึงตรวจสอบคลิปวิดีโอหลักฐาน เพื่อประกอบสำนวนคดี และจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ขณะที่เพจ สภ.เมืองตรัง ได้ออกมาโพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “เด็กแค่ 6 ขวบ กลับต้องเจ็บตัวในโรงเรียน ตำรวจ สภ.เมืองตรัง ไม่ปล่อยผ่าน ผู้ต้องหาโดนแจ้งข้อหาแล้ว ดำเนินคดีทันที ความยุติธรรมต้องดำเนินไป แต่ขอความร่วมมือสังคม งดแชร์ภาพหรือข้อมูลเด็ก เพราะรอยแผลทางใจอาจยาวนานกว่าแผลที่มองเห็นครับ
วันเดียวกัน (17 พ.ค.) กองบังคับการตำรวจภูธร จ.ตรัง ออกเอกสารชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อ “เห็นคลิปแล้วสงสารเลย ผู้ปกครองกระโดดตีหัว เด็ก 6 ขวบ ไม่พอใจเล่นกับลูกตัวเองเป็นแผลถลอก” นั้น ตำรวจภูธรจังหวัดตรังได้รับรายงานกรณีดังกล่าว จาก พ.ต.อ.ภูมิ นวลทิพย์ ผกก.สภ.เมืองตรัง แจ้งว่าเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม เวลาประมาณ 15.14 น. มีผู้พบเห็นได้บันทึกวิดีโอเหตุการณ์ส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองตรัง โดยระบุว่า เวลาประมาณ 14.30 น. ขณะไปปรับบุตรชายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ตรัง ครูได้แจ้งว่าบุตรชายและบุตรชายของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นได้ทะเลาะกัน จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บบริเวณปาก
โดยหลังจากมารดาได้กล่าวขอโทษครูและผู้ปกครองเด็กอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ระหว่างพูดคุยกับบุตรชาย บิดาของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ ได้วิ่งเข้ามาและกระโดดถีบเด็กชายบริเวณศีรษะทำให้เด็กชายได้รับบาดเจ็บ ภายหลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้องทุกข์และนำเด็กชายไปตรวจร่างกายยังโรงพยาบาล โดยผลตรวจจากแพทย์ยืนยันว่าเด็กได้รับบาดเจ็บมีรอยฟกช้ำบริเวณหลัง ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม พนักงานสอบสวนได้เชิญผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับทราบข้อกล่าวหา “ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้นั้น” ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ได้กำชับให้ ผกก.สภ.เมืองตรัง ดำเนินการเร่งรัดการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย” แถลงการณ์ตำรวจภูธร จ.ตรังระบุ
เมื่อสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยังครอบครัวและญาติพี่น้องของหนูน้อยผู้โชคร้าย ได้รับคำตอบว่า หลังเกิดเหตุได้นำเด็กชายไปตรวจร่างกายแล้ว 2 ครั้ง ตอนนี้น้องยังมีอาการบาดเจ็บเป็นรอยฟกช้ำ บริเวณไหปลาร้าด้านขวา ซึ่งน่าจะเกิดจากส้นเท้าของผู้ปกครองคนนั้น ซึ่งในเบื้องต้นก็ขอให้ทางตำรวจดำเนินการไปตามกฎหมายจะไม่มีการยอมความโดยเด็ดขาด ซึ่งทางญาติพี่น้องไม่อยากให้สัมภาษณ์ เนื่องจากเป็นห่วงด้านความปลอดภัยของลูกหลาน เพราะน้องยังจะต้องไปเรียนหนังสืออีกยาวนาน และห่วงว่าโรงเรียนจะเสียหาย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นโรงเรียนไม่ได้มีความผิดอันใด เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และไม่มีใครที่จะสามารถจับตัวผู้ปกครองอารมณ์ร้อนคนนั้นไว้ได้
ซึ่งหลังเกิดเหตุเมื่อทางญาติไปขอเอกสารหลักฐานต่างๆ ทางโรงเรียนให้ความร่วมมืออย่างดีมาก ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันพฤหัสฯ ในวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับศุกร์ น้องก็ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะกลัว ยังมีอาการหวาดผวาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทุกคนในครอบครัวบอกกับน้องว่าไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะว่าคนที่ทำน้องถูกตำรวจจับไปแล้ว ทำให้เด็กคลายความวิตกกังวลจึงยอมไปโรงเรียน แต่หลังจากนี้ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายจะไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น