ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคํา-น้ำมัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16000 ล้าน

ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคํา-น้ำมัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16000 ล้าน

วันที่ 5 ก.พ. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พร้อมเจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุม ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา ดังนี้

1.) นายภัทรกษิณฯ อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 413/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค.2567 จับกุมเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2567 บริเวณหน้าคอนโดแห่งหนึ่งย่านเขตสวนหลวง จ.กรุงเทพมหานคร

2.) นายปรัชญาฯ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 414/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค.2567 จับกุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 บริเวณคอนโดที่พัก ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต

3.) นายภาณุวัฒน์ฯ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 403/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค.2567 จับกุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 บริเวณบ้านพัก ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต

4.) นายวินัยฯ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 399/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค.2567 จับกุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 บริเวณบ้านพัก ต.ตลาด อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต

5.) นายเจนณรงค์ฯ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 400/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค.2567 จับกุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 บริเวณหน้าห้องพัก ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต

6.) น.ส.จิราพัชรฯ อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 397/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค. 2567 จับกุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารรถประจําทางจังหวัเฉะเชิงเทรา ต.หน้าเมือง อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา

7.) นายธงชัยฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 406/2567 ลงวันที่ 29 ม.ค.2567 จับกุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 บริเวณหอพัก ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย

ซึ่งต้องหาว่ากระทําความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดย การตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ ได้มีการสมคบ และร่วมกันฟอกเงิน

พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2566 มีผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. กรณีมีกลุ่มคนร้ายได้สร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา โดยนําภาพของบุคคลอื่น ที่มีฐานะดีและมีความน่าเชื่อถือ ทักแชทมาพูดคุยกับผู้เสียหาย จากนั้นได้มีการพูดคุยเพื่อสร้างความสนิทสนม และขอไอดีไลน์ของผู้เสียหายเพื่อแชทพูดคุยต่อระยะหนึ่ง

จนกระทั่งผู้เสียหายเริ่มไว้วางใจ คนร้ายจึงได้ชักชวนลงทุน เทรดหุ้นทองคําและหุ้นน้ํามัน ผ่านแอปพลิเคชันชื่อ AVATRADE (ซึ่งภายหลังจากตรวจสอบพบว่าเป็นแอปพลิเคชัน ที่ปลอมขึ้นมาเพื่อเลียนแบบแอปพลิเคชันที่มีอยู่จริง) ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน โดยในช่วงแรก ได้ผลตอบแทนจริงตามคํากล่าวอ้าง สามารถทํารายการเบิกถอนเงินได้ปกติ

จนกระทั่งผู้เสียหายเริ่มลงทุนในจํานวนมากขึ้น และต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ โดยคนร้ายอ้างว่ายอดเงินของผู้เสียหายมีจํานวนมาก จะต้องมี การชําระภาษีก่อนถึงจะทํารายการถอนเงินได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง จากการตรวจสอบเพิ่มเติมจากระบบ รับแจ้งความออนไลน์ พบมีผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้ทําการลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน AVATRADE ทั้งหมด จํานวน 23 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 14 ล้านบาท

จากการสืบสวนเส้นทางการเงิน พบว่ากลุ่มคนร้ายได้ใช้บัญชีธนาคารม้าในการรับโอนเงินของผู้เสียหาย และมีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทําความผิดไปยังบัญชีธนาคารบัญชีม้าอื่นๆ อีกหลายทอด จากนั้น ได้ทําการแปลงสภาพเงินได้จากการหลอกลวงให้กลายเป็นเงินดิจิทัลสกุล USDT ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน เหรียญดิจิทัล จากนั้นเงินดิจิทัลจะถูกโอนต่อไปอีกหลายทอดไปยังกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มคนร้ายเป็นขบวนการที่มีฐานปฏิบัติอยู่ที่ สปป.ลาว มีการแยกหน้าที่กันทําชัดเจน เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.2 บก.ปอท. จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา จํานวน 18 ราย ดังนี้

1. กลุ่มบัญชีม้า(คนไทย)จํานวน 8 ราย

2. กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงินจํานวน5ราย(คนไทย2ราย,มาเลเซีย1รายและจีน 2 ราย)

3. กลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน(คนจีน)จํานวน 5 ราย

ต่อมาเมื่อวันที่ 30-31 มกราคม 2567 เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย บก.ป., บก.ปคบ.,บก.รน. และ บก.ทล. บูรณาการกําลังร่วมกันตรวจค้นจับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทําความผิดดังกล่าว จํานวน ทั้งสิ้น 10 จุด โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 2 จุด, ภูเก็ต 6 จุด, เชียงราย 1 จุด และหนองบัวลําภู 1 จุด สามารถจับกมุ ผู้ต้องหาได้ จํานวน 7 ราย (กลุ่มบัญชีม้า 5 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 2 ราย) สามารถตรวจยึด ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิด จํานวนหลายรายการ

อาทิเช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (PC) จํานวน 10 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จํานวน 2 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ จํานวน 53 เครื่อง (ผูกแอปพลิเคชันธนาคาร พร้อมใช้งาน จํานวน 42 เครื่อง, เครื่องใหม่ จํานวน 11 เครื่อง,สมุดบัญชีธนาคาร จํานวน 1,113 เล่ม, บัตรกด เงินสด (ATM) จํานวน 1,065 ใบ และกล่องโทรศัพท์เปล่า จํานวน 77 กล่อง อีกทั้งยังได้ตรวจยึดทรัพย์สินมีค่า

อีกจํานวนหลายรายการ ในส่วนผู้ต้องหาชาวจีนและมาเลเซียที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ จํานวน 9 ราย ซึ่งอยู่ ระหว่างประสานงานติดตามจับกุมตัว คือ

1. MR.HUORONG

2. MR. SHENGWEI

3. MR. ZHIQIANG

4. MS. DI (หั่วหรง) สัญชาติจีน (เชิงเว่ย) สัญชาติจีน (จื้อเฉียง) สัญชาติจีน (ตี๋) สัญชาติจีน (เผยหลิง) สัญชาติจีน (เซียนล)ี้ สัญชาติจีน (เฟยเฟย) สัญชาติจีน (จื้อเห่า) สัญชาติจีน (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย

5. MS. PEILING

6. MS. XIANLI

7. MR.FEIFEI

8. MR. ZIHAO

9. MR.TIAH

โดยรายที่ 1-5 เป็นกลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน ส่วนรายที่ 6-9 เป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน

ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ห้วงพฤษภาคม 2565 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนร้ายมีการรับเงินดิจิทัลสกุล USDT ประมาณ 230 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทย มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท และมียอดเงินหมุนเวียน กว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งน่าเชื่อได้ ว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทําความผิด

สอบถามเบื้องต้นผู้ต้องหาแต่ละรายให้การภาคเสธ โดย นายปรัชญาฯ ให้การยอมรับว่า ตนเองได้ร่วมกับ นายภัทรกษิณฯ ในการจัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโตม้า โดย นายภัทรกษิณฯ จะได้รับการว่าจ้างจาก นายทุนชาวมาเลเซีย และ MR. TIAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย ให้จัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโตม้า จากนั้น นายภัทรกษิณฯ จะสั่งการให้นายปรัชญาฯ ไปจัดหาคนเปิดบัญชีธนาคารม้า พร้อมทั้งเปิดบัญชีเทรดคริปโตม้า โดยมีการผูกแอปพลิเคชันธนาคารและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลไว้ในโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะ พร้อมใช้งาน

จากนั้นจะส่งโทรศัพท์มือกล่าวกล่าวไปยัง ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อส่งต่อไปยังฐานปฏิบัติการ ของกลุ่มคนร้ายในประเทศ สปป.ลาว โดยนายทุนชาวมาเลเซียจะจ่ายค่าจ้างเป็นเงินบาท และเงินดิจิทัลสกุล USDT คิดเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท ต่อบัญชีม้าหนึ่งบัญชี

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายภัทรกษิณฯ ได้ให้ลูกน้องจดทะเบียนบริษัท และเช่าบ้านแห่งหนึ่ง ย่านเขตบางชัน กรุงเทพมหานคร เป็นออฟฟิศ เพื่อใช้ในการฟอกเงินที่ได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุน ชาวมาเลเซีย และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม พบว่า เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึง สิงหาคม พ.ศ.2566 มีรายได้จาก การจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุน มากกว่า 28 ล้านบาท

อีกทั้งยังพบว่า นายภัทรกษิณฯ เคยสั่งให้ นายปรัชญาฯ ส่งโทรศัพท์มือถือ (บัญชีม้า) ไปยังสถานที่ต่างๆ จํานวนมาก มีทั้งในและต่างประเทศ ต่างประเทศ อาทิเช่น ประเทศ ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และมาเลเซีย ในประเทศ อาทิเช่น จังหวัดเชียงราย, จังหวัดตาก, จังหวัดสุรินทร์ จังหวัด สระแก้ว และจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นจังหวัดตามแนวตะเข็บชายแดน

จากนั้นจะมีการลักลอบลําเลียงบัญชีม้าออกไป ยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้กลุ่มคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มการพนันออนไลน์ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ในการกระทําความผิด

สอบถามปากคําผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธตามข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยนายภัทรกษิณฯ ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายปรัชญาฯ ผู้ต้องหาที่ 2 รับว่าตน เป็นผู้จัดหาบัญชีส่งให้กับ กลุ่มคนร้ายไปใช้ในการกระทําความผิดจริง แต่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวง

ข่าวโดย ผู้สื่อข่าวนครบาล

เรียบเรียง มุมข่าว by siamnews

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ