โอละพ่อ หนุ่มพลเมืองดี ประกาศหยุดช่วยสาวท้องชีวิตรันทด หลังชาวบ้านกระซิบความจริง

โอละพ่อ หนุ่มพลเมืองดี ประกาศหยุดช่วยสาวท้องชีวิตรันทด หลังชาวบ้านกระซิบความจริง

จากกรณีที่ ปอน จักรกฤษณ์ หนุ่มจิตอาสา ช่วยเหลือสาวตั้งครรภ์ใกล้คลอด กัดฟันสู้ชีวิตใช้เงิน 4,500 บาท อยู่มา 6 เดือน กินข้าวกับน้ำตาลประทังชีวิต สุดท้ายคดีพลิก ชาวบ้านในละแวกนั้นบอกความจริง ว่าเป็นเรื่องโอละพ่อ

นายจักรกฤษณ์ หรือ ปอน ผอ.สมาคมสายธารสะพานบุญ และมีโครงการส่งผู้เสียชีวิตฟรีทั่วประเทศไทย เปิดเผยว่า ในตอนแรกตนเองได้รับการติดต่อจาก นางสาว ก. ว่าอยากได้ความช่วยเหลือ เป็นเสื้อผ้า ของใช้ของเด็กแรกเกิด แต่ตนเองก็ได้บอกว่าตนเองไม่ได้ช่วยเหลือเคสแบบนี้ ตนเองทำโครงการส่งผู้เสียชีวิตฟรีทั่วประเทศไทย แต่ นางสาว ก. ก็พยายามสาธยายชีวิตสุดรันทดของตัวเองว่าต้องกัดฟันสู้ชีวิตใช้เงิน 4,500 บาท กินข้าวกับน้ำตาล หรือนมข้นประทังชีวิต

ตนได้โทรพูดคุยกับ นางสาว ก. 3 ครั้ง ก่อนจะลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลย ยิ่งพอลงพื้นที่ไปที่ที่พักอาศัยก็ไม่ได้เอะใจว่าทำไมที่อยู่ถึงดูดี หรือมีตู้เย็นใช้ เพราะตอนนั้นตนเองมุ่งที่จะให้ความช่วยเหลือเขาอย่างเดียว โดยตนเองนำเงินไปมอบให้ นางสาว ก. 20,000 บาท และดูแลในส่วนของลูกของ นางสาว ก. โดยให้เป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท 5 เดือน เพื่อให้เขาประคองชีวิตไปได้ แต่ขณะเดียวกันชาวบ้านที่อาศัยในละแวกนั้น ก็ติดต่อมาหาตนหลายคนว่าเรื่องราวจริงๆ ไม่ใช่ตามที่ นางสาว ก.เล่า อย่างเรื่องแฟนที่ นางสาว ก.เล่าว่าถูกแฟนทิ้งไป 5 เดือน นั้นไม่จริง ที่จริงแล้วทั้งคู่อยู่ด้วยกัน แถมทะเลาะกันเสียงดังแทบทุกวัน จนข้างห้องนอนไม่ได้ ส่วนเรื่องเงิน 4,500 บาท ก็ไม่เป็นความจริง เพราะทั้งคู่ก็มีเงินกินใช้เข้าร้านสะดวกซื้อได้

ตอนที่ตนเองได้ยินเรื่องราวก็อยากให้ความเป็นธรรม โดยได้โทรไปถามความจริงกับ นางสาว ก. ว่า ก. มีอะไรจะบอกพี่มั้ย ถามหลายครั้ง แต่ นางสาว ก.ก็ไม่ยอมพูดความจริง ตนเองเลยพูดออกไปว่า ก. เอ็งไม่คิดว่าพี่มีสายอยู่แถวนั้นบ้างหรอ จากนั้น นางสาว ก.ก็เริ่มคลายออกมาทีละเรื่องๆ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับสารภาพได้ทั้งหมด ตนเองพยายามจะเค้นความจริงออกมา แต่ นางสาว ก. ก็เหมือนจะพยายามแถไปเรื่อย ๆ

ส่วนตอนนี้ตนเองก็ตัดการติดต่อ และการให้ความช่วยเหลือ นางสาว ก. แล้ว หลังจากวันนั้น เพราะเคสคนท้องเป็นเคสแรกที่เรายื่นมือเข้าช่วยเหลือ มันเลยทำให้ตนเองเสียใจสุดๆ บอกตรงๆว่า ทำแบบนี้ไม่โอเคมากๆ บอกกันตรงๆดีกว่า นอกจากนี้เมื่อวานตนเองก็ได้เผยเแพร่เรื่องนี้ออกไป ก็มีอีกหลายคนที่ทักเข้ามาอ้างว่ารอให้ความจริงเปิดเผยมานานแล้ว เพราะ นางสาว ก.เคยไปโกงแม้กระทั่งเงินเดือนชาวเมียนมา ตนเองยิ่งฟังเรื่องราวก็ยิ่งเฟล หรือเรื่องที่มีคนมาบอกว่าเมื่อก่อน นางสาว ก.ใช้ชีวิตหรูหรา ตนเองก็ได้ติดใจในส่วนนั้น เพราะเมื่อก่อนคนเราอาจจะเคยมีชีวิตที่สุขสบายกันได้ แต่ที่ตนเองรับไม่ได้คือการที่ นางสาว ก. หลอกไปเรื่อย ตนเองทราบมาว่า นางสาว ก.ได้ทักไปหาอีกคนบอกว่าแฟนติดคุกโดนจับเรื่องปืน ตนเองมองว่าแบบนี้เข้าข่ายมิจฉาชีพแล้ว

นายจักรกฤษณ์ เผยว่า หลังจากนี้ตนเองคงจะเกิดความแขยง เพราะตนเองคิดด้วยซ้ำว่าตนเองจะรับลูก นางสาว ก. มาเป็นลูกบุญธรรม ตนเองจะส่งให้เรียนเอง เพื่อให้เด็กมีอนาคต แต่พอได้ยินเรื่องราวอีกว่า ลูก 2 คน คนละพ่อ แต่ นางสาว ก.บอกว่า พ่อคนเดียวกัน ตนเองก็รู้สึกว่าทำไมถึงกล้ามาพลิกลิ้นไปมาแบบนี้ เลยทำให้ตนเองแขยง

แต่ถ้ามีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือแบบนี้อีกคงต้องดูกันอีกครั้ง เพราะตนเองก็แพ้น้ำตาด้วย และหลังจากเข้าช่วยเหลือเคสนี้ มีคนทักเข้ามาขอความช่วยเหลือ 40-50 เคส ต่อวัน ไม่ว่าจะเรื่องค้างค่าเช่า ติดหนี้รายวัน ค้างค่างวดรถ สารพัดเรื่องมาก

สุดท้ายนี้ ตนเองอยากยกเคสนี้เป็นกรณีตัวอย่าง ว่าถ้าเดือดร้อนแล้วเล่าความจริง เล่า 10 ครั้ง เหมือน 10 ครั้ง แต่ถ้ากุเรื่องขึ้นมา เล่ากี่ครั้งก็ไม่เหมือนเดิม และจะทำให้คนที่เข้ามาช่วยเหลือด้วยใจ ความเมตตา เขาจะเสียความรู้สึกมาก เราเอาหัวใจช่วย แต่คุณกลับตอบแทนกันแบบนี้ มันไม่แฟร์

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ