พระพยอม ดึงสติ หลังคนแห่กราบไหว้ อาจารย์น้องไนซ์ เด็ก 7 ขวบ

พระพยอม ดึงสติ หลังคนแห่กราบไหว้ อาจารย์น้องไนซ์ เด็ก 7 ขวบ

จากกรณี อาจารย์น้องไนซ์ เทวานิรมิตจุติ เด็กชายวัย 7 ขวบ ที่อ้างตนว่าเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราชลงมาจุติ และบุตรของพระศายกมุนี จนกลายเป็นผู้ทรงภูมิความรู้ด้านวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเผยแผ่ธรรมะด้านวิปัสสนากรรมฐานให้ผู้ที่สนใจ จนโด่งดังและมีผู้คนติดตามในแอพพลิเคชั่นต่างๆ โดยล่าสุดได้จัดกิจกรรม Work Shop วิปัสสนาในชื่อว่า เชื่อม ต่อยอด ขจัด เคลียร์ ที่จะปรับกลยุทธ์การสอนวิปัสสนาที่เข้มข้นกว่าเดิม เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ใน จ.ภูเก็ต โดยมีผู้คนแห่ไปเข้าร่วมกิจกรรมหลายร้อยคนนั้น

ล่าสุดวันที่ 6 ธ.ค.66 นักข่าวได้สอบถามความคิดเห็นกับทางพระราชธรรมนิเทศน์ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ในเรื่องดังกล่าว โดยพระพยอม แสดงความเห็นว่า บุตรของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี มีแต่บุตรของสิทธัตถะที่ชื่อราหุล แต่ก็มีบางคำที่ถูกนำมาใช้คือคำว่า พุทธบุตร ซึ่งแปลว่าบุตรสาวกของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาใช้กัน

เรื่องการรูธรรมหรือทรงภูมิธรรมได้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น อาจจะมีอัจฉริยะเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่งมากกว่าเด็กคนอื่นหรือระลึกได้มากกว่า ก็เลยสร้างปาฎิหารย์ได้มากกว่าเด็กคนอื่น ทำให้คนเชื่อถือได้มากกว่าเด็กคนอื่นๆ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้พูดแสดงแฝงธรรมได้ดีกว่า ซึ่งยุคก่อนไม่มี คนก็เลยแตกตื่นกัน

ซึ่งเรื่องนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าเพิ่งรีบรับและอย่าเพิ่งรีบปฎิเสธ เพราะถ้ารีบรับไปแล้วเกิดล้มเหลวตามมาก็จะกลายเป็นถูกลวง แต่ถ้ารีบปฎิเสธเลยเกิดเขามีดีจริงเราก็เสียโอกาสไป สู้ว่าลองตามดูเขาไปก่อน แต่อย่าไปหลงใหลจนลืมพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไป ตอนนี้เขายังเป็นเด็กอยู่ยังมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ อยู่อีกมาก อาจจะไปรุ่งเรืองหรือตกต่ำลงมาก็ได้

พระพยอม กล่าวอีกว่า เรื่องที่เห็นว่ามีผู้ใหญ่ที่อาวุโสมากกว่าไปก้มกราบไหว้เด็กชายนั้น เป็นการกราบไหว้คุณธรรมที่สูงกว่าตามที่เขาเชื่อกันมา เพราะสาเหตุส่วนใหญ่มาจากผู้คนทำไปตามความเชื่อในเรื่องอย่างนี้ เพราะไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา จนขาดพื้นฐานความรู้ในเรื่องธรรมะจนมีไม่เพียงพอ ก็เลยอยากรู้อยากเรียนอะไรที่มันข้ามขั้น ไม่อยากรู้อะไรที่มันลึกซึ้งในพระไตรปิฎกก็เลยอยากรู้อะไรในเรื่องฉาบฉวยแบบนี้

ส่วนเรื่องปัจจัตตังนั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองมาก่อน จากนั้นคนรุ่นหลังต่อๆ มาก็มาตามหลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปเท่านั้น รู้ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ไม่มีใครรู้ลึกซึ้งมาก่อน เรื่องปัจจัตตังกับคนทั่วไปอาจจะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องหวือหวาหรือข่าวลือ ให้ตามดูกันในระยะยาว จะได้ไม่ผิดหวัง ไม่พลาดพลั้ง ให้อยู่กับหลักที่ว่าไม่รีบรับและไม่รีบปฎิเสธ ให้ดูเหตุดูผล ดูกาลเวลา ดูความเป็นไปได้ พิสูจน์ได้ ไม่ใช่มาแว็บเดียวแล้วก็หายไปอย่างที่ผ่านๆมา

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ