
จนท.คุมประพฤติ เมาหนักซิ่งเก๋งพุ่งชนคู่กรณีพลิกคว่ำ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ท่าพระ รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์ เฉี่ยวชนกันจนเกิดพลิกคว่ำ บริเวณอุโมงค์ท่าพระ มุ่งหน้าจาก ถนน จรัญสนิทวงศ์ มุ่งหน้าถนน รัชดาท่าพระ จึงรีบรุดจัดกำลังพร้อมประสานอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเร่งรัดตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาสาสมัครมาถึงที่เกิดเหตุพบจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณเชิงลาดขาลงทางลอดอุโมงข้ามแยกใต้แยกท่าพระ ทิศทางมุ่งหน้ามาจากถนนจรัญสนิทวงศ์ มุ่งหน้าไปทางถนน รัชดาท่าพระ แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจุดเกิดเหตุดังกล่าวพบรถยนต์ ยีห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊ซ สีขาว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร อยู่ในลักษณะพลิกคว่ำล้อช้าฟ้า ซึ่งพบเจ้าของรถยนต์ดังกล่าว ทราบชื่อต่อมา ชื่อนายสุเวศน์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุประมาณ 50-55 ปี ซึ่งเป็นพนักงานคุมประพฤติชำนาญการ อยู่ในอาการมึนเมาอย่างหนัก นั่งอยู่ใกล้เคียงกับรถยนต์ของตน และใกล้กันยังพบกับรถยนต์ ยี่ห้อ มาสด้า รุ่น Cx3 สีแดง ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายกร เป็นเจ้าของรถจอดอยู่และต่อมาจึงทราบว่าเป็นรถคู่กรณีกัน
จากการสอบถามคุณกร อายุ 49 ปี คนขับรถมาสด้าคู่กรณี กล่าว่า ตนเองจอดรถซื้อของอยู่ข้างทางแล้วทางคู่กรณีมาจอดแล้วมาชนท้ายรถของตน พอตนเองจะเดินไปพูดคุยเคาะประตู 3-4 รอบ ก็ไม่ยอมออกมาคุยตนเองก็นึกในใจว่าเขาเมาหรือเป็นอะไรหรือเปล่า พอเขาออกมา แล้วเขาบอกว่าเขามีปืน ตนเองก็เลยถอยออกมา เพื่อมาขยับรถเดินหน้า และลงมาดูว่ารถของตนเองเป็นอะไรหรือเปล่า แต่พอดูแล้ว ว่าไม่เป็นอะไร ก็เลยรีบออกมา เพื่อจะไปทำงาน และจะรีบไปส่งแฟน แต่คู่กรณีก็ยังขับรถตามมาเปิดไฟเลี้ยวตามมา พอตนหลบเข้าซ้าย เขาก็หักรถมาชนเลย เหมือนกับเขาตั้งใจที่จะชนเลย ตนเองก็งง ตนเองยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเขา แล้วตนเอง ก็มาจอดอยู่ตั้งนานแล้ว จอดซื้อของจอดซื้อกับข้าว และก็รู้อยู่ ว่า รถของคู่กรณี มาจอดชนท้ายรถของตน และตนเอง ก็ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยมีปัญหากับใครทั้งนั้น ตนเองก็เลยคาดว่าคู่กรณี เมาหรือเปล่า และ หลังจากคู่กรณี ชนท้ายรถของตนแล้ว ก็ไม่เคยลงมาคุยอะไรกันเลย นอกจาก จะขับรถ ตามมาจี้ท้ายรถของตนอย่างเดียว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวนายสุเวศน์ ไปสอบถามเหตุการณ์เพิมเติมอย่างละเอียดอีกครั้งที่ สน.ท่าพระ และได้นำรถยกมาเก็บกู้รถยนต์ของนายสุเวศน์ เพื่อเปิดการจราจรแล้วนำรถยนต์คันดังกล่าวไปตรวจสอบเพิ่มเติมที่ สน. ก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป แต่ระหว่างที่นาย สุเวศน์ เดินเซด้วยอาการมึนเมาเพื่อจะไปขึ้นรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นในมือยังถือกระป๋องเบียร์ขึ้นไปบนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ซึ่งใครเห็นแล้วก็จะรู้สึกว่า นายสุเวศน์ ไม่สำนึกในความผิดที่ตนก่อขึ้นในครั้งนี้และเป็นการไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองในเรื่องของการผิดต่อข้อกฎหมายจราจร
สำหรับกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ได้เพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำกรณี เมาแล้วขับ โดยกำหนดบทลงโทษผู้เมาแล้วขับ ดังนี้ 1.ทำผิดครั้งแรก อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท 2.ทำผิดซ้ำข้อหา "เมาแล้วขับ" ภายใน 2 ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งแรก เพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000-100,000 บาท โดยศาลจะลงโทษจำคุก และปรับด้วย พร้อมถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ 3.เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ เสียชีวิต โทษสูงสุด 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที