สพฐ.สั่งปรับวิธีสอนประวัติศาสตร์ ปลูกฝังนักเรียนรักชาติ

สพฐ.สั่งปรับวิธีสอนประวัติศาสตร์ ปลูกฝังนักเรียนรักชาติ

ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า จากที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของชาติ เป็นคนที่มีจิตสำนึกรักชาติ ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และยึดมั่นสถาบันสำคัญของชาติ โดยลงนามบันทึกข้อตกลง “แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย สร้างจิตสำนึกความเป็นไทย” ระหว่าง 4 กระทรวงหลักนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะที่ดูแลเด็กและเยาวชนกว่า 6.5 ล้านคน ให้ความสำคัญกับการสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย ภูมิใจในชาติ และยึดมั่นสถาบันหลักอย่างมาก ได้กำหนดเป็นนโยบาย และจุดเน้นของ สพฐ.ปีงบประมาณ 2567-2568 โดยได้สั่งการนโยบายแก่ผู้บริหาร สพฐ.ในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) 245 เขตพื้นที่ จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้

ว่าที่ ร.ต.ธนุกล่าวอีกว่า สำหรับจุดเน้น และนโยบาย 2 ข้อแรก ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างสำนึกความเป็นไทย ภาคภูมิใจในชาติ และยึดมั่นสถาบันหลัก ได้แก่ ข้อ 1 การปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ ทุกโรงเรียนทั่วประเทศมีกิจกรรมการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และการน้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของในหลวงรัชกาลที่ 10 สู่การปฏิบัติ โดยเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่เป็นวิถีชีวิตประจำวันในโรงเรียน และข้อ 2 การจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และประชาธิปไตย ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นพลเมืองคุณภาพ รู้จักรากเหง้าตัวตน ประวัติศาสตร์ชาติ ด้วยการใช้สื่อการสอนที่ทันสมัย เหมาะกับเด็กยุคใหม่

การที่รัฐบาลมีวิสัยทัศน์บูรณาการแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่าง 4 กระทรวง เป็นการช่วยลดภาระครู เพราะจะมีภาคีเครือข่ายจากกระทรวงต่างๆ เป็นแนวร่วม สนับสนุนองค์ความรู้ สื่อ และแหล่งการเรียนรู้ ช่วยให้พัฒนาเด็กและเยาวชนได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งผมได้กำชับผู้อำนวยการ สพท.และผู้บริหารสถานศึกษา พร้อมเปิดรับการทำงานร่วมกับองค์กรภาคส่วนต่างๆ เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดกับนักเรียนเป็นสำคัญ ว่าที่ ร.ต.ธนุกล่าว

ว่าที่ ร.ต.ธนุกล่าวต่อว่า มั่นใจว่าโรงเรียนทุกแห่งมีการเรียนการสอนที่ปลูกฝังความรักความภาคภูมิใจในชาติ และยึดมั่นสถาบันสำคัญของชาติ ที่เป็นวิถีปฏิบัติของโรงเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะรายวิชาประวัติศาสตร์ ที่ สพฐ.ได้ประกาศให้สถานศึกษาจัดรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ แยกออกมา 1 รายวิชาอย่างชัดเจน กำหนดให้ระดับประถม ใช้เวลาเรียน 40 ชั่วโมงต่อปี หรือสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ระดับมัธยมต้น 40 ชั่วโมงต่อปี และระดับมัธยมปลาย รวม 3 ปี 80 ชั่วโมง

โดยมอบหมายนางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ.และทีมวิชาการ พัฒนารูปแบบแนวทางการปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติ และได้สั่งการ สพท.ทุกเขต เป็นพี่เลี้ยงแก่โรงเรียน ทบทวนรูปแบบ วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ทำอยู่ว่าเป็นอย่างไร ให้ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning เพื่อนักเรียนได้รู้จักรากเหง้า เข้าใจเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น และประเทศชาติในแง่มุมต่างๆ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ วิพากษ์ เชิงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ท่องจำตามหนังสือ คลิปวิดีโอ หรือจำตามที่ครูบอกเล่า เพื่อนักเรียนจะได้เข้าใจ และเห็นบทเรียนจากเรื่องราวในอดีต เชื่อมโยงความเป็นมาเป็นไปสู่สังคมปัจจุบัน เห็นแนวทางภูมิปัญญาที่เป็น Soft Power เห็นคุณค่าอดีตที่ต่อยอดสู่อนาคต ในมิติเศรษฐกิจ สังคม และหน้าที่พลเมืองได้ ว่าที่ ร.ต.ธนุกล่าว

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ