วันที่ 2 มิถุนายน 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานเจ้าอาวาส วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม นายอนุกูล ศรีเจริญ อายุ 65 ปี อดีตข้าราชการ ชาวจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วยภรรยาและพ.ต.ท.กฎทอง นครสมบูรณ์ ทนายความ ได้เข้าพบพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 เพื่อขอยื่นหนังสือร้องเรียนกรณีมีพระภิกษุประพฤติตัวไม่เหมาะสม และทำการยึดที่ดินทำเป็นที่พักโดยได้รับอนุญาตให้เป็นวัดหรือสำนักสงฆ์ ในพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ซึ่งได้ร้องเรียนไปหลายแห่งแต่ไม่รับการแก้ไข

นายอนุกูล ศรีเจริญ อายุ 65 ปี แจ้งว่าการร้องเรียนที่มาในวันนี้ ตนเองมีความเดือดร้อนเนื่องจาก พระกิตติพงศ์ พสุธวงศ์ และพระประคอง คนใหญ่ กับพวกได้ใช้ที่ดินของตนเองดำเนินการเป็น “สำนักสงฆ์วัดใหม่สมใจนึก” ในบ้านเลขที่ 119 ม.9 ต.บางระกำ อ.บางเลน จ.นครปฐม และใช้สถานที่ดังกล่าวจัดกิจกรรม ทั้งการดูดวง รับรักษาให้กับญาติโยมโดยคิดเงิน และมีการจัดกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เหมาะสม โดยตนเองพยายามจะทวงคืนที่ดินหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล

นายอนุกูล เล่าว่า เมื่อปี พ.ศ.2559 ตนเองได้รู้จักกับพระกิตติพงศ์ จากลูกศิษย์ของภรรยา ให้กับรักษาตัวจากอาการเลือดจาง ที่วัดหนองกระทุ่ม ต.หินกอง อ.เมือง จ.ราชบุรีและได้แนะนำให้ไปรักษากับหมอแมะที่กรุงเทพจนอาการดีขึ้น โดยรู้สึกนับถือเพราะทำให้ตนเองดีขึ้น ซึ่งไม่นานพระกิตติพงศ์ ได้มาบอกว่ามีปัญหากับเจ้าอาวาสจึงได้ย้ายไปจำวัดที่ วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายก ไม่นานก็ได้เชิญให้ตนเองเป็นเจ้าภาพกฐินก็ได้ไปทำบุญให้

นายอนุกูล เล่าต่อว่า จากความนับถือสนิทสนมกัน ได้บอกว่าอยากจะตั้งสำนักสงฆ์ โดยตนเองได้บอกว่า จะให้ที่ดิน 2 ไร่จากจำนวน 10 ไร่ให้ทำสำนักสงฆ์ โดยไม่ได้มีการทำสัญญาบอกกันเพียงปากเปล่าเท่านั้น และ พระกิตติพงศ์ บอกว่าขอยืมเงินในการสร้างโบสถ์และกุฏิ โดยจะทยอยใช้คืนให้ ซึ่งตนเองได้เรี่ยรายบุญจากชาวบ้านและควักเงินส่วนตัวอีก 2 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินเก็บที่จะใช้ในบั้นปลายชีวิต ให้ไปก่อสร้าง แต่ไม่นานพฤติกรรมก็เริ่มเปลี่ยน ทั้งเริ่มรับดูดวง รับรักษาคนโดยคิดเงินครั้งละ 2-3 พันบาท และมีการนำครอบครัวมาอาศัยอยู่ด้วยกัน มีการเรี่ยรายเงินจากญาติโยมไปใช้ส่วนตัว โดยตนเองได้ทักท้วงแต่ไม่เป็นผล

“ผมได้ทำป้ายประกาศไปปิดที่ทางเข้า เขาก็ยกทิ้งผมร้องเรียนไปหลายที่เรื่องก็เงียบและได้ยังมี ชายคนหนี่งเป็นข้าราชการที่ทำงานเป็นลูกจ้างประจำของสำนักงานพระพุทธศาสนา อำเภอบางเลน มาร่วมกับพระกิตติพงศ์ มาหลอกผมว่าได้ทำเรื่องขอตั้งเป็นวัดเรียบร้อยแล้ว โดยมีเอกสารมาให้ผมเซ็น แต่พอไปตามเรื่องยังไม่มีการอนุมัติใดใด

ทำให้รู้ว่าทั้งคู่มาหลอกผมด้วย เรื่องนี้ทำให้ทุกข์ทรมานใจมากอยากจะให้เขาออกจากที่ดินของผมไป เพราะที่ดินอีก 8 ไร่ที่อยู่ด้านหลังผมเข้าไปทำสวนมะม่วงไม่ได้เพราะเขาไม่ยอมออกไป ถ้าผมจะบุกเข้าไปก็จะมีเรื่องยืดยาวเข้าไปอีก จึงได้เข้ามาวอนกราบขอให้หลวงพี่น้ำฝน ช่วยเหลือ” นายอนุกูลกล่าว

ขณะที่ พ.ต.ท.กฎทอง นครสมบูรณ์ ทนายความ บอกว่าตนเองได้รับทราบเรื่องทั้งหมดและได้ทำเรื่องในการฟ้องขับไล่พระที่อยู่ในนั้นกับพวกทั้งหมด และได้ติดตามสอบถามไปยังต้นสังกัดพบว่า พระทั้ง 2 รูปมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยมีการจัดการทอดผ้าป่า ซึ่งสอบถามไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ทราบว่ายังไม่ได้รับการจัดตั้งเป็นวัด และการได้เข้ามาพบกับหลวงพี่น้ำฝน ท่านได้รับปากจะเป็นตัวกลางที่จะหาทางออกให้ซึ่งเชื่อว่าเป็นทางออกที่ดี ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายกับพระสงฆ์และพร้อมจะให้มีการเจรจากันเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้

หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับผิดชอบโดยตรง เบื้องต้นได้รับเอกสารไว้แต่ก็ยังจะขอเชิญมาคุยกันทุกฝ่ายเพราะทั้งฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ท้องถิ่น และคณะสงฆ์ที่ปกครองในพื้นที่ ซึ่งจะต้องสอบถามหาไปยังต้นสังกัดของพระทั้ง 2 รูป ซึ่งทราบว่า อยู่ที่วัดทุ่งน้อย ต.หินกอง อ.เมือง จ.ราชบุรี ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร

โดยเรื่องนี้ก็ถือเป็นเคสตัวอย่างที่จะต้องมาถกกัน เนื่องจากเกิดเหตุแบบนี้ทั่วประเทศ คือแรกๆ ญาติโยมก็ศรัทธานับถือกันก็ยกที่ดินให้กัน แต่พอแตกคอหรือไม่เข้าใจกันก็จะเอาที่ดินคืน จนเป็นคดีฟ้องร้องกันเยอะ ซึ่งอาตมาในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ก็จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่ละเว้นไม่ช่วยพระด้วยกัน ถูกคือถูกผิดก็คือผิดเพื่อให้เกิดมาตรฐานในคณะสงฆ์กับประชาชนให้ได้

ข่าวโดย ปนิทัศน์ มามีสุข ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครปฐม

เรียบเรียง มุมข่าว by siamnews