หมอเด็กเตือนสติพ่อแม่ ระบบการศึกษาไทยขโมยเวลาแม่ลูก

หมอเด็กเตือนสติพ่อแม่ ระบบการศึกษาไทยขโมยเวลาแม่ลูก

ทางเพจ บันทึกหมอเดว ของ รศ. นพ. สุริยะเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น อดีตผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ออกมาโพสต์เพื่อดึงสติคุณพ่อคุณแม่ ที่มักจะคาดหวังกับลูกมาก จนทำให้ลูกเกิดความกดดันและไม่มีความสุข โดยจากโพสต์นั้นได้ระบุว่า

เมื่อลูกร้องขอเวลาจากแม่ เมื่อระบบการศึกษาขโมยเวลาแม่ลูก งานนี้ไม่ต้องโทษพ่อแม่ แต่ ต้องโทษความเป็นจริงระบบการศึกษาแพ้คัดออก ที่เกิดขึ้นในเด็กเล็ก เด็กผู้หญิงที่น่ารักมาก กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครูแนะนำให้มาพบเพื่อให้ยาสมาธิสั้น ขาดความรับผิดชอบ แต่เมื่อหมอฟังเรื่องราวจากลูก สงสารลูกจับใจมาก แม่รักลูกมากๆ แต่ด้วยความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว จึงต้องทำงานหนักมาก กลับบ้านดึกมากลูกหลับ บ้านนี้มีตายาย ที่คอยช่วยรับส่งหลาน แต่เช้า ลูกตื่นตีห้า ล้อหมุน 6 โมงเช้า กินข้าวเช้าบนรถ ไปถึงที่โรงเรียน 7 โมงเช้า เด็กต้องรีบวิ่งขึ้นไปรับการบ้านจากครู ก่อนเข้าเรียน ย้ำว่าการบ้านเช้า

ทำการบ้านเช้าเสร็จอย่างเร่งรีบเสร็จ เข้าแถว เข้าห้องเรียน เรียนหนัก เพราะเด็กเรียนของชั้นที่โตกว่า โรงเรียนนี้ เด็กป.1 เรียนหลักสูตรป.2 ป.2 เรียนของป.3 และตอนนี้เธอเรียนป.4 แต่หลักสูตรข้ามชั้น ป.5เลิกเรียน บ่ายสามครึ่ง ต่อด้วยกวดวิชา เลิกเกือบ 5 โมง กินข้าวเย็นบนรถ มาถึงที่บ้านรีบปั่นงาน อีกกองพะเนิน แต่คุณตาเข้มมาก คาดหวังว่าลูกต้องสอบติดโรงเรียนจึงให้หลานท่องอาขยาน ศัพท์ ภาษาอังกฤษ ทุกวัน สะสมไปเรื่อยๆ ทุกๆวัน กว่าจะได้นอนประมาณสาม-สี่ทุ่ม เพื่อตื่นตีห้าให้ทัน เป็นอย่างนี้ จันทร์ถึงศุกร์ พอวันเสาร ก็ไปกวดวิชา 2-3ที่กลับมาเย็นๆก็รีบทำการบ้านที่ครูสั่ง แบบเยอะๆเข้ามา วันอาทิตย์ก็กวดวิชาสั้นๆ และเหลือเวลาทำการบ้าน บวกกับอย่าลืม คุณตาขอแทรกด้วยการท่องจำ ตลอด

ตกลงเวลาพักมีแบบแว๊บๆๆ เด็กวาดรูปสวยและเก่งมาก ชอบงานศิลปะ และดนตรี เกลียดวิชาคณิต ครูก็ดุ การบ้านก็เยอะแถมมีทุกวัน ส่วนแม่มีเวลาเสารอาทิตย์ แต่เสารอาทิตยลูกติดติววิชาเต็มไปหมด ลูกแทบไม่ได้อยู่กับแม่ทั้งๆที่แม่มีเวลา ใครขโมยเวลา #ใครมาโทษว่าขาดความรับผิดชอบ ใครเป็นคนกดดันเด็ก

เด็กคนนี้เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เกรดเขาแย่ลง เขารู้สึกล้ามากๆ เหนื่อย ป.1-3 เรียนได้ 3.9-4.00มาตลอด ตอนอนุบาลแม่ให้ติวเข้มมากเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ท่านทราบไหมว่าเด็กติวหนักขนาดไหน เด็กเล่าว่าตอนก่อนเข้าป.1 เรียนพิเศษ เสารอาทิตย์ วันละ 7-8ที่ ย้ำว่าวันละ7-8 ที่ เด็กปฐมวัย อนิจจาทัศนคติผู้ใหญ่ที่เศร้าใจ รวมทั้งครูก็ป่วยทางทัศนคติ ไม่พอ คุณตาเกิดอะไรขึ้นที่คลั่งไคล้มาลงความรักแบบลุ่มหลงและคาดหวังสูงที่หลานเช่นนี้

นอกจากเรียนหนัก ติวหนัก การบ้านเยอะ กดดันหนัก ทุกวัน ทุกเทอม ทุกปี หมอมองแววตาลูก แล้ว สงสารจับใจ จับมือเขา ให้พลังใจ ถามลูกว่า ลูกจ๋า หากขอได้อยากได้อะไรครับ ลูกบอกว่า อยากได้เวลาจากแม่ อยากเล่นกับแม่ หมอฟังไปแทบอยากร้องไห้ กอดเขาไว้แล้วบอกว่าหมอจะทำอย่างที่ลูกบอก จะส่งสัญญาณนี้ไปให้ผู้ใหญ่ทุกคน ถึงยามนี้ หมออยากให้ยา ใครดีครับ ที่แน่ๆ ลูกจ๋า ลูกน่ารักมาก ลูกวาดรูปเก่ง ลูกมีหัวใจศิลปิน

นาทีนี้ผมถามผู้ใหญ่ครับ ท่านทำอะไรกันครับเนี่ย ท่านจะเอาความรัก มาแปรเปลี่ยนเป็นความคาดหวัง กดดันทำไมครับ ขอตะโกนบอกผู้ใหญ่ทุกคนว่า อย่าขโมยเวลาอย่าขโมยธรรมชาติของเด็ก เพียงเพราะอ้างว่ารักและหวังดี เลิกอ้างได้หรือยังครับเจ้ากระทรวงครับท่านลงไปดูลูกๆหน่อยเถอะอย่ามัวแต่ฟังในกระทรวงกรมกอง เพราะท่านจะไม่เห็นภาพความจริง

โรงเรียนต่างๆเหล่านี้ ล้วนดังมีชื่อ เสียง คุณครูครับ ช่วยกระตุกต่อมจิตสำนึกและดึงจิตวิญญาณ ความเป็นครูกลับมาทีเถอะ ดูแลลูกหลานด้วยความรัก และหัวใจ ถ้าหมอมีมนต์ อยากจะเป่าให้ระบบแพ้คัดออก โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ หมดไปจากโลก ขอสัพเพสัตตาให้ระบบแพ้คัดออกไปสู่สุขติภพ อย่าได้มาผุดเกิดอีกเลย อนิจจาสงสารลูกจับใจ แม่ๆ พ่อๆ ทุกท่าน ดึงหัวใจลูกด้วยพลังบวกนะครับ บันทึกหมอเดว24 สค.2562

ปล.โชคดีที่แม่ได้หัวใจลูกกลับคืน ไม่เป็นหุ่นยนต์แล้ว แม่เข้าใจให้ความร่วมมือ แต่ยากมากสำหรับครู และระบบการศึกษาไทย เกิดอะไรขึ้นที่เข้าใจยากจัง จากโพสต์นี้ของคุณหมอก็สะท้อนให้เราเห็นว่า การเรียนในทุกวันนี้มีการแข่งขันสูง จึงทำให้บางครั้งครอบครัวก็คาดหวังกับลูกๆหลานๆ มากจนเกินไป และทำให้เด็กๆ ไม่มีความสุขในการเรียน และสุดท้ายธรรมชาติในตัวเด็กทุกคนก็หายไปเพราะได้รับความกดดัน

ที่มา บันทึกหมอเดว

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ