โอละพ่อ หนุ่มขายปลาหมึก

โอละพ่อ หนุ่มขายปลาหมึก

จากกรณี พ่อค้าขายปลาหมึกท่านหนึ่ง ได้โพสต์คลิปลงติ๊กต๊อก ระบายความในใจ ว่าปลาหมึกที่รับมาขายเสียหาย ขาดทุนทุกอย่าง อีกทั้งยังแสดงความห่วงใยลูกสาว 2 คนวัยกำลังน่ารัก ขอผู้ใจบุญมารับอุปการะดูแล พร้อมกับกอดลูกแล้วร้องไห้ ก่อนที่ชาวเน็ตในโซเชียลต่างพากันนำคลิปออกมาโพสต์และแชร์เพื่อหาทางช่วยเหลือ จนพ่อค้ามีกำลังใจกลับมาฮึดสู้อีกครั้ง โพสต์ขายของต่อ

จากการสอบถามร้านค้าใกล้เคียงไม่มีใครรู้จัก ทราบแต่ว่าเห็นมีร้านปลาหมึกย่างมาวางขายได้ไม่นานนักเป็นผู้ชาย ช่วงบ่ายมีคนเห็นมาตั้งขาย แต่ช่วงเย็นได้หายไปแล้วไม่ทราบว่าบ้านอยู่ไหนเป็นใครจากที่ไหนมาขายด้วย ตรงกับที่แม่ค้าย่านเดียวกันบอกว่าเคยเห็นมาขายแต่วันนี้ไม่อยู่ไม่ทราบไปไหน

ล่าสุดคุณพ่อวัย 33 ปี ถูกไฟแน้นซ์เข้ามายึดรถ ตอนค่ำของวันที่ 29 มิถุนายน ทำให้เกิดการคิด สั้ น อีกครั้ง ตอนนี้ถูกน้ำส่งโรงพย าบาลแล้ว ทางโรงพย าบาลแรกแจ้งว่าเตียงเต็ม จึงนำส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพย าบาลการุญเวช ปทุมธานี นำเข้าห้องไอซียู อาการยังไม่ดีขึ้น ส่วนลูกสาวและภรรยาที่เดินทางดูอาการพลเมืองดีเข้าช่วยเหลือนำไปดูแลเพื่อให้สามแม่ลูกได้คลายกังวลและให้ความอบอุ่น

ล่าสุด วันที่ 2 ก.ค. 64 นายหนุ่ย อายุ 42 ปี พี่คนโต กับนายน็อต อายุ 39 ปี พี่คนกลางของนายกอล์ฟ เดินทางไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สภ.วังน้อย เนื่องจากนายหนุ่ยให้นายกอล์ฟใช้ชื่อออกรถจักรยานยนต์ ไปเมื่อต้นปี 2563 นายน็อตให้นายกอล์ฟใช้ชื่อออกรถกระบะไปเมื่อ ก.ย. 2563 แล้วเพิ่งมาทราบว่านายกอล์ฟเอารถไปขาย กลัวว่าจะถูกเอารถไปทำสิ่งผิดกฎหมายแล้วจะซวยไปด้วย จึงมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

นายหนุ่ย อายุ 42 ปี พี่ชายคนโต และนายมอส อายุ 39 ปี พี่ชายคนกลาง เปิดเผยว่า เริ่มต้นน้องมาทำงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีพฤติกรรมให้เพื่อนร่วมงานใช้ชื่อชื้อรถจักรยานยนต์ให้ สุดท้ายเชิดหนีกลับบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี และคาดว่าจะนำรถไปขาย ซึ่งตอนนี้เป็นคดีความกันอยู่ จากนั้นเมื่อกลับไปอยู่บ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี ก็ทำมาหากินปกติ แต่มีพฤติกรรมชอบยืมเงินชาวบ้าน และออกรถจักรยานยนต์ยนต์ที่บ้านแล้วก็หนีออกมาจากบ้านเกิดอีก ทิ้งลูกสาวคนเล็กไว้กับพี่ชายคนโต ตนเองพยายามตามหาอยู่หลายปี แต่ก็ไม่พบและขาดการติดต่อ

ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

จนกระทั่งตนมีจังหวะได้เจอน้องอีกครั้ง และพบว่าน้องอาศัยอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงติดต่อกัน มีการไปมาหาสู่กันบ่อย ต่อมาน้องบอกว่าอยากทำงานขับรถส่งของแต่ไม่มีรถ และไม่มีเส้นทางทำธุรกรรมการเงินได้ ตนเห็นน้องลำบาก และเป็นสายเลือดเดียวกัน จึงใช้ชื่อออกรถกระบะ เมื่อต้นเดือนกันยายน 2564 น้องเป็นคนค้ำประกันและออกค่าใช้จ่ายเอง แต่จากนั้นก็ขาดการติดต่ออีก แต่งวดรถนั้นน้องก็จ่ายมาตลอด อาจจะมีบางงวดที่ช้าบ้าง ตนก็ใช้เงินส่วนตัวที่มีออกไปก่อน ตอนนี้เท่าที่นับได้น้องส่งงวดรถมาประมาณ 9 เดือนแล้ว

ล่าสุดมาเห็นข่าวน้องกินยาเกินขนาดเข้าโรงพยาบาล และมีการนำเสนอข่าวเรื่องรถว่าได้นำรถกระบะไปขาย ซึ่งไม่มีการปรึกษาและบอกตนเองสักคำ ทั้งที่เป็นพี่น้องกันก็พร้อมช่วยกันอยู่แล้ว แต่การทำแบบนี้ตนมองว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย การยักยอกทรัพย์ จึงมารีบดำเนินการ เบื้องต้น แค่อยากได้รถคืน กลัวคนเอารถไปกระทำผิดกฎหมาย ไม่อยากมีเรื่องหรือเอาความกัน หากได้รถคืนจะถอนแจ้งความ

ทั้งยังเห็นว่ามีการเปิดรับบริจาคจนมีคนให้การช่วยเหลือถึง 30,000 บาท ร่วมถึง อบต. ให้การช่วยเหลือ ซึ่งตนเองมองว่าน้องกำลังสร้างภาพให้น่าสงสาร ขอร้องสังคมอย่ามองมุมเดียว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้น้องกลับบ้านที่อุบลราชธานีไม่ได้ เพราะคนในหมู่บ้านที่น้องยืมเงินตามถามหาตลอด ด้านนายหนุ่ย พี่ชายคนโต เปิดเผยว่า ในส่วนของตนใช้ชื่อออกรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟไอ 110 ให้น้องเมื่อต้นปี 2563 เพราะน้องบอกว่าจะเอาไปให้ให้เมียใช้ขับรถส่งของ แต่น้องก็ยังผ่อนจ่ายมาตลอด แต่เมื่อเห็นข่าวเรื่องรถน้องคนกลางถูกขายไป ตนจึงตามมาดู สุดท้ายรู้ความจริงว่ารถจักรยานยนต์ที่ออกให้น้องก็เอาไปขายด้วย

นายชัยวัฒน์ เข้าให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย พร้อมเปิดเผยว่า ตนขายรถเพื่อเอาเงินมาทำทุน ไม่เคยหนีหรือปัดความรับผิดชอบ และโอนเงินค่างวดรถให้พี่ชายตลอด ส่วนอดีตโซเชียลก็ไม่เคยเล่น ตนไม่เคยไปหลอกใคร ถ้าตรวจสอบตนไม่เคยมีคดี หรือบัญชีการโอนเงิน ไม่เคยใช้หลอกใคร ดังนั้นเรื่องรถที่ทำสิ่งลงไปแบบนั้นตนรู้ว่าผิด แต่ตนเป็นพ่อคนก็ต้องหาทางไม่ให้ลูกอด ดีกว่าไปปล้นคน ตอนนี้พยายามติดต่อนายหน้าเพื่อขอรถคืน ถ้าไม่ได้ก็ให้ตำรวจดำเนินการไปตามกฎหมาย ตนยอมรับผิด ถึงคนมองไม่ดี แต่เชื่อว่าสายตาคนในครอบครัวมองตนเป็นคนดีในอยู่แล้ว เพราะตนทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว สำหรับเรื่องนี้ตนไม่น้อยใจพี่ชาย เพราะทำผิดจริง

ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

ภาพจาก ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

ส่วนการเปิดรับบริจาคเงิน ตอนแรกตนไม่ทราบ มารู้จากภรรยาตอนออกจากรพ.ว่าสมาชิกเทศบาลตำบลบ้านสร้างโพสต์เปิดบริจาคให้ ตนยืนยันไปก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่อยากเปิดรับบริจาค แต่คิดว่า สท. คงสงสารตนเองจึงมาช่วย และตนจะยังไม่ปิดรับบริจาค ถ้ามีคนช่วยก็อยากให้ช่วยเป็นการศึกษาของลูก เผื่อตนเองไม่ได้อยู่แล้ว ลูกจะได้มีเงินค่าการศึกษา ยืนยันเรื่องเงินบริจาคพร้อมชี้แจงยอดทั้งหมด และมีบัญชีเดียวที่เปิด ไม่มีการโยกย้าย พร้อมขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ ตอนนี้ครอบครัวยิ้มได้ มีความสุขมากที่มีคนช่วยเหลือมากขนาดนี้ ล่าสุดยอดเงินบริจาคมากกว่า 1.6 แสนบาท

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ